ລາວໂຮມລາວ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ

Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: ພວກຜູ້ນຳລາວຂາຍຊາດ ຂາຍແຜ່ນດິນ
Anonymous

Date:
RE: ພວກຜູ້ນຳລາວຂາຍຊາດ ຂາຍແຜ່ນດິນ
Permalink   
 


http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=41009

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=IHjAJhlWdZo&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=h-KS5e1rC9s&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=It5a4vnDM34&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=jUgNxvJqTWA&feature=related

ປິໄຫ່ມ2012 ຊູມຊົນລາວກ່ວາ40ລ້ານຄົນ ໃນ ສຍາມ ປມ ຂໍສົ່ງເພັງລາວມ່ວນໆໃຫ້ພີ່ນ້ອງທັ໋ວໂລກ
ຟັງແລ້ວແລ້ວ ຢ່າລຶມ ເປິດ ຄລີບຂ້າງລູ່ມນິ້ ສ້າງອານາຈັກລາວຂື້ນໄຫ່ມ ປັສຈາກ ໂຈນສອງຝັ່ງຂອງ

http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=41009



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.unhcr.org/refworld/category,COI,,,LAO,4ecba64bc,0.html

ountries at the Crossroads 2011 - Laos

MARTIN STUART-F

Martin Stuart-Fox is Emeritus Professor of History in the University of Queensland, Brisbane, Australia. He is the author of several books on Lao politics and history, plus more than seventy articles and book chapters.

INTRODUCTION

In December 1975, after a thirty-year struggle, the Lao People's Revolutionary Party (LPRP) seized power from the former Royal Lao regime, abolished the monarchy, and established the Lao People's Democratic Republic (LPDR). The new institutions of government were modeled on those of the former Soviet Union and Laos is today one of only five remaining Marxist-Leninist states, two of which (China and Vietnam) are its powerful neighbors. It is also one of only five Theravada Buddhist countries, three of which (Burma/Myanmar, Cambodia, and Thailand) comprise its other three neighbors. The paradox of Laos today reflects its position on this fault line between communist leadership and Buddhism.

During its first 10 years in power, the LPRP pursued orthodox socialist policies: it nationalized industry and cooperativized agriculture. But plummeting production and peasant opposition forced a reconsideration. In 1986, the ruling party introduced what it called the "new economic mechanism." Over the next decade, land rights were returned to peasant owners, state-owned industries were privatized (except for a few strategic industries), the economy was opened up to foreign capital, and development aid welcomed. Laos reduced its close dependency on Vietnam, and in 1997 both countries joined ASEAN, the Association of Southeast Asian Nations.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Laos casino under suspicion over drugs trade:
www.laoalliance.org

Democracy process in Burma, a modle for Laos?
www.laoalliance.org

"Countries at the crossroads: Laos" by Martin Stuart Fox
http://www.laoalliance.org/Human-rights.html

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.zdf.de/ZDFmediathek/beitrag/video/1528920/Im-Land-der-Drachensoehne#/beitrag/video/1528920/Im-Land-der-Drachensoehne



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ອົງການສິດທີມະນຸດທີ່ວໍຊີງຕັນ ເອົາ ສປປລ ມາປິ້ງ

http://www.freedomhouse.org/images/File/CaC/2011/LAOSFINAL.pdf



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ໂຊກດີປີໄຫ່ມ 2012
Sokdee Pee mai 2012
ໂຊກດີປີໄຫ່ມ 2012
Sokdee Pee mai 2012
ໂຊກດີປີໄຫ່ມ 2012
Sokdee Pee mai 2012

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

มากกว่า ผู้นำที่มีความรอบรู้กว่า ผู้นำที่มีการใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ดีกว่า มักเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งเป็นที่เคารพเชื่อถือแก่ผู้ตาม.
3.กล้าเปลี่ยนแปลงหรือริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ยุคสมัยปัจจุบันและยุคของโลกในอนาคต ผู้นำมักเป็นผู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลง ผู้นำมักกล้าทดลอง ค้นคว้า สิ่งใหม่ๆ โลกยุคใหม่จึงเป็นยุคสมัยของ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง.
4.กระตือรือร้น ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ มักเป็นผู้นำที่มีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง เดินไวกว่าคนปกติ ตามจิตวิทยา หากผู้นำมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ผู้ตามมักจะมีความกระตือรือร้นด้วย ในทางกลับกัน หากว่าผู้นำมีความเฉยชา ผู้ตามก็มักจะทำงานด้วยความเฉยชา เช่นกัน.
5.มีความอดทน งานของผู้นำมักเป็นงานที่หนักกว่าผู้ตาม เนื่องจากต้องมีความรับผิดชอบต่องาน ต่อคนที่ทำงาน และต่อองค์กร ยิ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เช่น บริษัท , กระทรวง , หรือประเทศชาติ ก็ต้องรับภาระที่หนักหนาขึ้น หากว่าเราสังเกต ผู้นำระดับประเทศบางคนตอนขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี มีใบหน้าที่หล่อ ดูดี มีสง่า แต่เมื่อดำรงตำแหน่งไปได้ไม่นาน หน้าตาที่เคยสง่า ดูดี กลับการเป็นใบหน้าที่ดู เคร่งเครียด จริงจัง ก็สืบเนื่องมาจาก ผู้นำระดับประเทศผู้นั้น ต้องแบกรับปัญหาต่างๆ มากมายและใช้ความคิดในการแก้ปัญหานั้นเอง.
6.การบังคับตนเองหรือการควบคุมตนเอง คนที่ต้องการเป็นผู้นำต้องมีสติในการควบคุมตนเอง ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย เช่น บังคับตนเองไม่ให้แสดงออกต่อหน้าสาธารณะในการแสดงกิริยาอาการที่ไม่ดี โดยเฉพาะต่อหน้าสื่อมวลชน เนื่องจากผู้นำต้องเป็นเป้าสายตาต่อลูกน้องและคนทั่วไป.
7. การใช้ดุลพินิจและกล้าตัดสินใจ ผู้นำที่ดีต้องรู้จักใช้ดุลพินิจ อีกทั้งเมื่อมีปัญหาก็ต้องกล้าตัดสินใจ ถึงแม้จะตัดสินใจผิดพลาดไปบ้างก็ตาม แต่หากไม่กล้าตัดสินใจ ก็จะทำให้สถานการณ์นั้นๆ แย่ลงได้ ผู้นำจึงต้องเป็นนักวิเคราะห์ นักคิดที่ดีในการรู้จักมองปัญหาต่างๆ อีกทั้งต้องมีความเด็ดขาดเมื่อต้องตัดสินใจ เพื่อที่จะนำพาองค์กร ประเทศชาติ เดินหน้าต่อไป.
8.มีมนุษย์สัมพันธ์ ผู้นำที่ดีต้องเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากผู้นำต้องทำงานกับคน หากผู้นำสามารถครองใจคนทำงานได้ ลูกน้องก็มักจะทำงานเต็มที่ การมีมนุษย์สัมพันธ์จะทำให้ผู้นำเป็นที่ เคารพรัก ศรัทธา เชื่อถือ ของผู้คน ทำให้มีคนอยากช่วยเหลือ มากกว่าผู้นำที่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ในการทำงาน.

ผู้นำที่ดีมักคิดยากๆ แล้วปฏิบัติง่ายๆ แต่ผู้นำที่ไม่ดีมักคิดง่ายๆ แล้วปฏิบัติยากๆ!!! Black Saphire.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 



ถึงเวลาที่เราต้องสร้างวัฒนธรรมพลเมือง

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์



เนื่องจากปีที่ผ่านมาเป็นปีแห่งความคลั่งในการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 และเป็นปีแห่งการถกเถียงกันอย่างหนักในเรื่องนี้ เราควรเริ่มปี ๒๕๕๕ ด้วยการตั้งเป้าหมายเพื่อสร้าง “วัฒนธรรมพลเมือง” ในประเทศไทย

วัฒนธรรมพลเมืองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งถ้าเราจะมีประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพในโลกสมัยใหม่ เพราะวัฒนธรรมพลเมืองตั้งอยู่บนรากฐานความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพ ความโปร่งใส และสิทธิในการตรวจสอบบุคคลสาธารณะ มันตรงข้ามกับ “วัฒนธรรมไทยเป็นทาส” ที่เต็มไปด้วยเผด็จการและการหมอบคลาน

ทั้งๆ ที่นักวิชาการ “เสรีนิยม” และคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทน “ภาคประชาชน” ในไทยจำนวนมาก เคยชอบท่องสูตรเรื่องความสำคัญของประชาธิปไตย ความโปร่งใส เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการเลือกผู้แทน และสิทธิในการตรวจสอบการทำงานของผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ เพื่อให้มีการรับผิดชอบ ตามที่เคยชอบพูดกันถึง transparency กับ accountability ในสมัยร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐ แต่พอมาถึงยุครัฐประหาร ๑๙ กันยา และการใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย และโดยเฉพาะการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองของอำมาตย์ ปรากฏว่านักวิชาการเสรีนิยมและคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทน “ภาคประชาชน” เหล่านั้น ก็เพิกเฉยต่อสิ่งที่ตนเองเคยท่องมาในยุคก่อน

ที่แย่กว่านั้นคือพวกนี้เพิกเฉยต่อการอ้างอำนาจผูกขาดโดยอำมาตย์ในการกำหนด “วัฒนธรรมไทย” ตามแนวคิดไดโนเสายุคหินอีกด้วย ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่างในรูปแบบการพูดของผบทบ.ประยุทธ์หรือสส.พรรคประชาธิปัตย์ในทำนองว่า การแก้หรือยกเลิกกฏหมายหมิ่นฯ 112 “ขัดกับวัฒนธรรมไทย” ซึ่งเป็นการเสนอว่าวัฒนธรรมไทยคือวัฒนธรรมแบบไพร่กับนาย ไม่ใช่วัฒนธรรมพลเมือง เขากำลังเสนอว่า “ความเป็นไทยคือความเป็นทาสสำหรับคนส่วนใหญ่” และมันเป็นการดูถูกเหยียดหยามการที่พลเมืองธรรมดาของไทยจำนวนมาก เคยต่อสู้และเสียสละเลือดเนื้ออย่างต่อเนื่องเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็น ๒๔๗๕ ๑๔ตุลา ๖ ตุลา สงครามของพคท. พฤษภา๓๕ หรือการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา

ในความเป็นจริง ไม่ว่านายพล นักการเมือง หรืออภิสิทธิ์ชนคนไหนจะหลงตนเองแค่ไหน แต่เขาหรือบุคคลอื่นที่อ้างตัวเป็นใหญ่ ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมได้ เพราะวัฒนธรรมมาจากความยินยอมและการร่วมปฏิบัติของคนจำนวนมาก ซึ่งแปลว่าไม่มีวัฒนธรรมเดียวในสังคมไทย มีแต่หลากหลายวัฒนธรรมที่แข่งกันเพื่อครองใจคน

วัฒนธรรมทาสที่ฝ่ายอำมาตย์อ้างว่าเป็น “วัฒนธรรมไทย” เป็นแค่วัฒนธรรมกดขี่ประชาชนของชนชั้นปกครองเท่านั้น วัฒนธรรมทาสนี้บังคับให้ประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ ต้องคลานกับพื้น เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเหมือนสัตว์และต่ำกว่ามนุษย์ แต่ในสังคมไทยวัฒนธรรมที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมทาสนี้คือวัฒนธรรมพลเมือง ที่คนธรรมดาเริ่มชื่นชมมากขึ้นทุกวัน

ปัญหาของ กฏหมายหมิ่นฯ 112 คือมันเป็นกฏหมายที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมพลเมืองโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการบังคับไม่ให้สังคมไทยมีประชาธิปไตย ความเสมอภาค ความโปร่งใส และการตรวจสอบผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ

นอกจากนี้แล้วการปิดปากประชาชนที่เกิดขึ้นจากกฏหมายนี้ เปิดทางให้มีการใช้ความรุนแรงในการล้มประชาธิปไตย หรือในการเข่นฆ่าผู้ที่เรียกร้องประชาธิปไตยภายใต้ข้ออ้างของทหารว่ากำลัง “ปกป้องสถาบันเบื้องสูง”

กฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นการเปิดทางไปสู่สองมาตรฐานทางกฏหมายที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้อีกด้วย ลองดูว่าตอนนี้ใครในสังคมไทยติดคุกหรือติดคดีที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตการเมืองปัจจุบันบ้าง มีแต่คนระดับล่างที่เป็นเสื้อแดง ในขณะที่นายพลและนักการเมืองที่สั่งฆ่าประชาชนลอยนวลหมด แต่มันยิ่งแย่กว่านั้นอีก เพราะไม่ต้องพูดถึงแค่คดีการเมือง เมื่อดูคดีฆาตกรรมส่วนตัวปัจเจก จะเห็นว่า “คนมีเส้น” มักหลีกเลี่ยงคุกได้อย่างสบาย และแม้แต่ในศาลไทย พวกผู้พิพากษาไม่มีจิตสำนึกประชาธิปไตยพอที่จะมองว่าต้องอ่านคำตัดสินคดีให้ผู้ต้องหาฟัง บางครั้งไม่ลงมาในศาลด้วย แค่ใช้โทรทัศน์วงจรปิด และผู้ต้องหามักจะถูกบังคับให้แต่งชุดนักโทษก่อนตัดสินคดี ซึ่งเป็นการละเมิดหลักว่าทุกคนต้องบริสุทธิ์ก่อนตัดสินคดี และความอยุติธรรมทั้งหมดนี้ปกป้องด้วยกฏหมายหมิ่นศาลแบบ 112 ที่ปิดปากประชาชนไม่ให้ตรวจสอบศาลได้

สรุปแล้ว ถ้าไม่มีวัฒนธรรมพลเมือง ที่มองว่าพลเมืองมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในกระบวนการศาล และมีสิทธิ์ที่จะมีส่วนร่วมเต็มที่ในกระบวนการยุติธรรม จะไม่มีวันมีความยุติธรรมในสังคมไทยเลย

กฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นกฏหมายเผด็จการที่พยายามสร้างวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” กฏหมายนี้สวนทางกับวัฒนธรรม “ไทยเป็นพลเมือง” ที่คนไทยจำนวนมากเริ่มชื่นชม

กฏหมายหมิ่นฯ 112 ไม่ใช่กฏหมายที่ปกป้องไม่ให้คน “ด่าในหลวง” คนที่เสนอแบบนี้เป็นคนโกหกสังคม เพราะกฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นกฏหมายที่ปกป้องทหาร และปกป้องชนชั้นปกครองไทยทั้งหมดต่างหาก กฏหมายอื่นที่พอจะปกป้องคนไทยทุกคนจากการถูกด่าหรือกล่าวหาเท็จ คือกฏหมายหมิ่นประมาทธรรมดา

กฏหมายหมิ่นฯ 112 ไม่ใช่กฏหมายที่ปิดปากไม่ให้เรา “พูดเรื่องในหลวง” ด้วย เพราะเป็นกฏหมายที่ปิดปากไม่ให้เราพูดคุยถกเถียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทหารเผด็จการกับสถาบันกษัตริย์ต่างหาก จนคนไทยจำนวนมากในยุคปัจจุบันหลงเชื่อคำโฆษณาอ้อมๆ ของทหาร และนักการเมือง ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ประเทศไทยไม่ได้ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ปกครองด้วยระบบ “รัฐซ้อนรัฐบาล” ที่ทหาร ข้าราชการชั้นสูง นายทุน และนักการเมืองอาวุโส มีอำนาจนอกและเหนือรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนั้นมีการแอบอ้างสร้างความชอบธรรมทั้งปวงจากสถาบันกษัตริย์ พร้อมกับปกป้องระบบรัฐซ้อนรัฐบาลด้วยกฏหมายหมิ่นฯ 112 เพราะทุกอย่างอ้างว่า “ทำไปเพื่อปกป้องสถาบันเบื้องสูง” ดังนั้นถ้าใครแย้งหรือตั้งคำถามกับระบบนี้จะ “ถือว่าผิด 112”

เราจะเห็นได้ว่าการตั้งคำถามกับการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา ว่าทำไมต้องแอบอ้างสถาบันกษัตริย์ ทำไมต้องผูกโบสีเหลืองบนปืนและเครื่องแบบทหาร หรือการตั้งคำถามว่าประมุขในระบบประชาธิปไตยควรปกป้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยหรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่พลเมืองทุกคนควรมีส่วนร่วมในการถาม เพื่อความโปร่งใสและการรับผิดชอบ ล้วนแต่กลายเป็นคำถามที่ถูกอำมาตย์นิยามว่า “หมิ่น” ตามกฏหมายหมิ่นฯ 112

กฏหมายหมิ่นฯ 112 นำไปสู่การอ้างอภิสิทธิ์พิเศษของพวกนายพลในการฆ่าคนที่คิดต่างจากตนเองอีกด้วย เพราะมีการประโคมข่าวว่าพวกที่โดนยิงเป็นพวก “ล้มเจ้า”

ถ้าเรามีสิทธิ์สร้างความโปร่งใสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายพลระดับสูงกับประมุข ผมมั่นใจว่าเราจะค้นพบว่าทหารไม่ได้รับใช้กษัตริย์ แต่รับใช้ตนเองมากกว่า นี่คือสาเหตุที่ทหารอยากปกป้องกฏหมายหมิ่นฯ 112 แบบสุดชีวิต

ถ้าเรามีสิทธิ์สร้างความโปร่งใสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายพลระดับสูงกับประมุข ผมมั่นใจว่าเราจะพบว่าบุคคลในพระราชวังไม่ได้มีส่วนในการสั่งฆ่าประชาชนเมื่อปี ๒๕๕๓ แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่คนไทยจำนวนมากในปัจจุบันเข้าใจว่า “เป็นคำสั่งจากวัง” ตรงกันข้ามเราจะพบความจริงว่าผู้สั่งฆ่าตัวจริงคือทหารและนักการเมือง แต่พวกนี้อยากจะใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 ในการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ

ใครๆ ที่ไม่ตอแหลหรือไม่หลอกตนเองและผู้อื่น เข้าใจมานานแล้วว่าในประเทศประชาธิปไตย พลเมืองมีสิทธิ์ตรวจสอบประมุข เพราะประมุขเป็นผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ นี่คือสาเหตุที่ประเทศต่างๆ ที่มีกษัตริย์ในยุโรปไม่มีการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 ในทางปฏิบัติมานานแล้ว ในประเทศเหล่านี้พลเมืองมีสิทธิ์แลกเปลี่ยนอย่างเสรีด้วยว่า ประมุขควรเป็นกษัตริย์ที่สืบทอดสายเลือด หรือควรมาจากการเลือกตั้ง และในยุคนี้เราเห็นความเพี้ยนของระบบที่ให้ความสำคัญกับการสืบทอดสายเลือดในกรณีเกาหลีเหนือ ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนที่เรานำมาพิจารณาในไทยอีกด้วย

ในเมื่อกฏหมายหมิ่นฯ 112 ขัดกับวัฒนธรรมพลเมือง ขัดกับการสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบในระบบการเมืองสาธารณะ การเสนอให้ลดโทษ หรือการเสนอให้เลขาสำนักพระราชวังเป็นผู้ยินยอมให้มีการฟ้องแต่ฝ่ายเดียว จะเป็นเพียงการปกป้องระบบที่กีดกันเสรีภาพ ความโปร่งใส และการตรวจสอบเท่านั้น และเราคงเดาได้ว่าเลขาสำนักพระราชวังจะเป็นคนของทหารอีกด้วย

ข้อเสนอให้ “ปฏิรูป” กฏหมายหมิ่นฯ 112 ของคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เป็นเพียงการปกป้องกลุ่มที่เกาะกินกับระบบรัฐซ้อนรัฐบาล มันเป็นการปกป้องวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” และเป็นแค่ปฏิกิริยาต่อกระแสวัฒนธรรมพลเมืองที่ต้องการให้ยกเลิกกฏหมายหมิ่นฯ 112 และปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน และนักวิชาการ “เสรีนิยม” ที่คล้อยตามการ “ปฏิรูปเทียม” แบบนี้ ก็เพียงแต่คล้อยตามวัฒนธรรมไทยเป็นทาสเท่านั้นเอง

แค่ข้อเสนอที่ไม่แก้ปัญหา 112 ของ คอป. ก็ไม่ได้รับความชื่นชมจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่คนเสื้อแดงเลือกมา เพราะรัฐมนตรีเฉลิม อยู่บำรุง “ลั่น” ว่าจะคัดค้านแบบหัวชนฝา การแก้กฏหมายหมิ่นฯ 112 และด่าคนที่ต้องการสร้างสิทธิเสรีภาพว่า "ไอ้พวกนี้มันว่างงาน มาทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

เราต้องถือว่าคำพูดของนายเฉลิมเป็นนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะไม่มีการออกมาวิจารณ์นายเฉลิมโดยนายกรัฐมนตรี และในรูปธรรมรัฐบาลนี้ยิ่งคลั่งในการใช้ 112 และกฏหมายคอมพิวเตอร์มากขึ้น

คนที่เคยหลอกตัวเองว่า “ต้องให้เวลากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์” ด้วยข้ออ้างต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับความใหม่ของรัฐบาล หรือปัญหาน้ำท่วม ถ้าพร้อมจะซื่อสัตย์ยอมรับความจริง คงต้องร่วมสรุปกับพวกเราว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำข้อตกลงกับทหารเรียบร้อยแล้ว และจะทำทุกอย่างเพื่อหักหลังวีรชนเสื้อแดง ไม่ว่าจะในเรื่องการไม่ลงโทษนายประยุทธ์ นายอนุพงษ์ นายอภิสิทธิ์ หรือนายสุเทพ ในข้อหาฆ่าประชาชน หรือในเรื่องการทอดทิ้งคนเสื้อแดงที่ติดคุกอยู่ หรือในเรื่องข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ และนอกเหนือจากนั้น สิ่งที่สำคัญพอๆ กันคือ แกนนำ “นปช. แดงทั้งแผ่นดิน” ก็พร้อมจะเผิกเฉยและปล่อยให้รัฐบาลหักหลังเสื้อแดง และปล่อยให้มีการสลายพลังของขบวนการเสื้อแดงจนไม่เหลืออะไร เพื่อให้ชนชั้นปกครองปรองดองกันเองและร่วมหากินบนสันหลังพลเมืองต่อไปในอนาคต

พวกเราที่อยากเห็นวัฒนธรรมพลเมืองเกิดขึ้นอย่างจริงจังในสังคม จะต้องจับมือกันและเคลื่อนไหว และจะต้องพร้อมที่จะสร้างหน่ออ่อนของขบวนการเสื้อแดงใหม่ เพราะแกนนำที่เคยประกาศว่าเป็น “ไพร่... พร้อมสู้กับอำมาตย์” ดูเหมือนจะหันมาส่งเสริมวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” ไปเสียแล้ว





--
ใจ อึ๊งภากรณ์
+44(0)7817034432
http://redthaisocialist.com/



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ลักษณะการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์:
1. แนวความคิดของระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ คือ รัฐไม่เพียงแต่จะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต แต่ยังมีอำนาจไปถึงการควบคุมสิทธิเสรีภาพ และวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนอีกด้วย
2. ที่มาของระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้มาจากแนวความคิดของ คาร์ลมาร์กซ์ เจ้าของ ลัทธิมาร์กซิสม์ Marxism
3. ประเทศแรกที่นำระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เข้ามาใช้โดยปฎิวัติยึดอำนาจของ เจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 คือ เลนิน โดยสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1917
4. เลนินได้นำลัทธิมาร์กซิสม์มาปรับเป็นรูปแบบการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ในรัส เซีย ซึ่งต่อมาได้แพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ โดยมีลักษณะที่สำคัญ ดังนี้:=
1. ใช้วิธีการรุนแรงในการยึดอำนาจ
2.เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโดยชี้ให้เห็นว่าลัทธิทุนนิยมมีข้อบกพร่องมากต้องการขจัดชนชั้นนายทุนโดยเปลี่ยนมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
3. ยกเลิกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของบุคคล
4. ให้รัฐเป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิตและเป็นผู้ประกอบการ กำหนดแผนทางเศรษฐกิจ ส่วนประชาชนเป็นผู้ใช้แรงงาน
5.. จักตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อเป็นแนวทางหน้าในการต่อสู้ พรรคคอมมิวนิสต์มีลักษณะเป็นกึ่งกองทัพ และเมื่อดำเนินการสำเร็จแล้วก็จัดเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมาโดยตลอด
6.. มีการควบคุมสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้ประชาชนรับเอาแนวคิดอื่นนอกจากลัทธิคอมมิวนิสต์




. ลักษณะการเมืองการปกครองของประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ มีดังนี้คือ:=
ก. มีทั้งรัฐประเภทรัฐเดี่ยวและรัฐรวม
ข. มีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นแกนนำ มีองค์กรของพรรคทำหน้าที่อบรมและเผยแพร่มติและนโยบายของพรรค
ค. ประมุขของรัฐ ไม่ ว่าจะเป็นระบบประธานาธิบดีหรือระบบรัฐสภาจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค คอมมิวนิสต์ กรรมการของพรรคคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้มีอำนาจ ที่แท้จริงในการปกครอง
ง. สมาชิกรัฐสภาเป็นบุคคลที่พรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้กลั่นกรองแล้วเสนอให้ประชาชนรับรอง!!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ໄຮໂຊລາວນອກ ປທ ທີ່ ປາຣີສ ສັງສັງໃນງານໄປໄຫ່ມສາກົນ 2011 ພາຍໄຕ້ການອຸປຖັມຂອງເຈົ້າຟ້າຊາຍໂສຣີຍະວົງສຫ່ວາງແຫ່ງຣາຊວົງລາວ

http://www.laofr.net/?mid=56

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


" นี่คือเจตนารมณ์ ของ FTA "

--แต่ ยุคทักษิณทำไงรู้มั้ยย ย ย ย
--คน ส่วนใหญ่ของประเทศไทยเรา เพาะปลูก ทำไร่ ทำสวน สินค้า พวกนี้จึงน่าเป็นสินค้าส่งออก เพราะเป็นสินค้าที่มีปริมาณมากในประเทศ แต่...
--ทักษิณตกลง FTA กับ จีน โดยยอมให้จีน นำพืชผลทางการเกษตรเข้ามาตีชาวไร่ ชาวสวนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในบ้านเรา เพื่อ...แลกกับการนำเข้า อะไหล่รถยนต์ ซึ่งเป็น บ.ของ พวกทักษิณ เอง ไปจีน
--ผลก็คือ บ.พวกทักษิณร่ำรวย ส่งสินค้าเข้าจีน ขายได้ถล่มทลาย แต่ เกษตรกร ชาวไร่ ชาวสวน ชาวนา ในประเทศ ตาย..เพราะถูก ผลไม้จีนตีตลาด ถูกจนเหลือเชื่อ เช่น มะม่วงเหลือ โลละ 10 บาท ฯลฯ


--สายการบิน
--ต่อมาก็เรื่องสายการบิน ทุกๆประเทศมีสายการบินประจำชาติ ประเทศไทยชื่อ การบินไทย และ เส้นทางการบินของสายการบินนั้นๆ บ้างก็มีขาดทุน บ้างก็มีกำไร เช่น
--กรุงเทพ ไป นิวยอร์ก กำไรทุกปี แต่ กรุงเทพไป.. อาจขาดทุน แต่สายการบินเป็นของรัฐ ยังไงก็ต้อง รองรับระบบพื้นฐานโลจิสติกของไทย ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ก็ต้องบิน โดยหากเกิดการขาดทุน รัฐจะเป็นผู้ให้เงินสนับสนุน ชดเชยให้
--เมื่อ ทักษิณกุมอำนาจ การบริหารประเทศ ทักษิณก็ถือหุ้นใหญ่ สายการบิน แอร์เอเชีย จากนั้น ก็ง่ายนิดเดียว ยกเลิกเส้นทางการบินของรัฐที่มีกำไร ไปให้แอร์เอเชียบิน ...ส่วนอันไหนขาดทุน ให้ การบินไทยบินต่อไป .ให้รัฐจ่าย..
--แอร์เอเชียก็กำไรมโหฬาร ส่วนการบินไทย ก็ ... ตามมีตามเกิดไป .......นั้นหละ การโกงในเชิงนโยบาย


+++เมื่อ ทักษิณจัดการธุรกิจทุกอย่าง จนได้สัญญาสัมปทาน ผูกขาดกับรัฐ ไปอีกหลายนานแสนนาน แถมสัญญาที่ทำกับรัฐในทุกสัญญานั้น ทั้งได้เปรียบ เอาเปรียบ ลดภาษี ลดค่าสัมปทาน "จนเหมือนแทบจะเหมือนได้เปล่า.."
+++จาก นั้นทักษิณก็จัดการแก้กฏหมาย เพื่อให้สามารถขาย บริษัททั้งหมดให้กับต่างชาติ โดยบวกกำไรส่วนเพิ่ม ที่ทักษิณได้ทำสัญญาการเอาเปรียบรัฐ ต่างๆไว้ นั้นก็คือ...
+++กฎหมายขยายเพดานการถือหุ้น ของชาวต่างชาติ ในบริษัทโทรคมนาคมของประเทศ มีผลบังคับใช้วันที่ 21 มกราคม 2549
+++และ สองวันต่อมา ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ก็ขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับบริษัทเทมาเส็ก แห่งประเทศสิงคโปร์ เป็นจำนวนเงิน 73,300 ล้านบาท
+++รวยขึ้นทันตาเห็น เดิมจาก 2หมื่นกว่าล้าน ขายทีเดียวได้เกิน 3 เท่า หรือกว่า 300%


+++"....... จริงๆทุกอย่างแทบจะผ่านพ้น ไปได้ด้วยดี เพราะถึงจะโกงยังไง สส.ตัวแทนประชาชนทุกคน ที่ทักษิณใช้เงินฟาดหัวซื้อไว้ ก็ยกมือโหวดกฏหมายต่างๆ ให้ผ่านร่าง พรบ. ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ใครก็เอาผิดทักษิณไม่ได้!!!!!!"


+++แต่ความโลภ และ หลงอำนาจ ของทักษิณ เลยทำให้ทักษิณชะล่าใจ ใช้อำนาจเอื้อหนุน ในการซื้อที่ดินรัชดา
+++เริ่ม ตั้งแต่การเปลี่ยนวงเงินมัดจำ การประมูลจาก 10 ล้าน เป็นเงินสด 100ล้าน ภายในวันเดียวเพื่อให้ ผู้ร่วมเข้าประมูลเตรียมเงินสดไม่ทัน
+++จากนั้นการประมูล ทางอินเตอร์เน็ต ก็ไม่พบผู้ร่วมประมูล ทั้งๆที่ บ. แลนด์แอนเฮ้า LPN ฯลฯ กว่า 7 ราย ก็เข้าร่วมประมูล แต่ทักษิณบอกเป็นการผิดพลาดทางด้านเทคนิค
+++แถม ทักษิณยัง ประกาศแก้ไขวันหยุดสิ้นปีของปีนั้นๆ เป็นวันทำการ เพื่อให้สามารถซื้อขายที่ดินแปลงนั้นได้ ก่อนสิ้นปี ก่อนที่จะมีการบังคับใช้กฏหมายการใหม่ ในปีถัดไปอีกด้วย
+++สรุปราคาการ ซื้อขาย จากเดิมที่ กองทุนฟื้นฟูซื้อมาที่ต้นทุนราคา 4889ล้านบาท .....แต่ทักษิณ ให้พจมาน ซื้อไปได้ในราคา 772 ล้านบาท .... ก็คิดเอาเองละกานนะ


+++เฮ้อ คนไทยบางคน ยังภูมิใจกับเศษเงินที่เขาให้มา แลกกับการโกงชาติไปมากมาย สัญญาต่างๆที่เขาทำไว้ เป็นสัญญาที่ผูกพันกับรัฐไปอีกนานแสนนาน
+++รัฐ จะสูญเสียเงิน ที่ควรจะเก็บภาษีต่างๆ ที่ควรได้ในทุกๆปี หายไปอีกปีละกว่าหลายหมื่นล้าน ทั้งยังเสียประโยชน์จากการดำเนินนโยบาย ที่มุ่มเน้นแต่การเอื้อประโยชน์ ให้พวกพ้อง ตลอดจนถึงการทุจริตเชิงนโยบาย รวมทั้งสิ้น ปีละเป็นแสนล้าน
+++เงินในคลังก็จะน้อยลง ไทยก็จะยากจน การพัฒนาก็จะน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น ไปอีกหลายสิบปี คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือคนยากจน ที่รักทักษิณ ตามต่างจังหวัด ที่ต้องพึ่งพาสวัสดิ์การ จากรัฐตั้งแต่เกิดนั้นแหละ
+++.................


-+-ตลอด เวลาที่ผ่านมา ทักษิณ กุมอำนาจเสร็จเด็ดขาดทุกอย่าง ตั้งแต่ สส.ในสภา การแต่งตั้ง ผบ.ทหาร /ตำรวจ ข้าราชการประจำ จนถึงแก้ไขระบบผู้ว่าราชการจังหวัด ให้เป็นแบบ ผู้ว่า CEO ก็เป็นพวกของทักษิณทั้งนั้น
-+-ถ้า ทักษิณครองเมืองได้ ถึงมีผู้รู้ทันมากสักแค่ไหน ก็ขวางทักษิณไม่ได้ การที่ยุคสมัยนึงคนไทยรักเลือกทักษิณ เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจในการทุจริต ในเชิงนโยบายของเขา
--------------" แล้วใครละ จะคอยขวางทางทักษิณ "......ไม่ให้ทักษิณแต่งตั้งเอา ญาติและพวกพ้อง คนชั่วมามีอำนาจ...เพื่อยึดอำนาจ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมใจเขา-------------------


-+-ระบอบ ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี แต่ประชาชน ต้องมีความรู้ แล้วการจะมีความรู้ได้ ต้องได้รับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ ในการประกอบการตัดสินใจ เลือก สส. ตัวแทนประชาชน มารักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของพวกเรา




พระบรมราโชวาท

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชมหาราช

" คนดี "

ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย
จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดีให้คนดี ได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย

รักพ่อครับ


รบกวนฝากเพื่อนๆกด "แชร์"
เพื่อเผยแพร่สิ่งที่พวกตระกูล ชินวัตร ทำไว้กับประเทศไทย ให้คนทุกคนได้รับรู้นะครับ
ผมเชื่อว่าถ้าคนรักทักษิณได้อ่าน เค้าจะไม่อยากรักทักษิณอีกแล้วครับ
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนครับผมดูเพิ่มเติม


รูป ภาพละ 1 บทความนะครับผม ผมเชื่อว่าถ้าคนรักทักษิณได้อ่าน เค้าจะไม่อยากรักทักษิณอีกแล้วครับ รบกวนฝากเพื่อนๆกด "แชร์" เผยแพร่สิ่งที่พวกตระกูล ชินวัตร ทำไว้กับประเทศไทยให้คนทุกคนได้รับรู้นะครับ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนครับผม


โดย: คนไทย ร่วมต่อต้านการคอร์รัปชั่น ของ "ตระกูลชินวัตร" และพวกพ้อง

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เรื่อง รวมการโกง ของทักษิณ...

--ก่อนหน้านี้ ทักษิณ ก็เป็นเหมือนคนปกติทั่วไ...ปที่อยากจะร่ำรวย....

--เริ่ม จากการอยากร่ำรวยทางลัด ยุคปฏิวัติ รสช สมัยสุนทร คงสมพงษ์....ทักษิณ ก็ให้เงินทหารที่ปฏิวัติ เพื่อแลก สัมปทานมือถือแบบง่ายๆ ... "ยัดเงิน ทหาร ไม่ต้องประมูลสัมปทานอย่างยุติธรรม ให้มันยุ่งยาก"

--หลังจากทักษิณ ได้สัมปทานรัฐฯ จากการยัดเงินใต้โต๊ะแล้ว ทักษิณก็เริ่มอยากปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง เพราะการมีอำนาจเอง ก็คงดีกว่าการคอยพึ่งบารมีผู้มีอำนาจ นักการเมือง ข้าราชการที่คอยแต่จะรีดไถ่
--ทักษิณก็เลยโดดมาเล่นการเมือง เพื่อการมีอำนาจซะเองเลย


--เริ่ม ที่พรรคพลังธรรม ทำหน้าที่เป็นนายทุนให้พรรค เติบโตมาพร้อมๆกับ เจ้หน่อย ซึ่งสมัยนั้น ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก ถือเป็นนักธุรกิจไฟแรง ที่ผันตัวเองมาเล่นการเมือง


--เมื่อทักษิณเล่นการเมืองมีอำนาจรัฐฯ อยู่ในมือแล้ว เป็นรองนายก แม้ไม่ถึงขั้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็เห็นช่องทางแห่งความร่ำรวย
--เริ่ม จากตัดลดงบประมาณต่างๆ ทำองค์กรโทรศัพท์ให้อ่อนแอ ขาดงบประมาณในการซ่อมแซมดูแล ใช้งานไม่ได้มากๆเข้า ก็เป็นการบีบประชาชน โดยทางอ้อมให้จำเป็น ต้องซื้อโทรศัพท์มือถือ เพราะยุคนั้นตู้โทรฯสาธารณะแทบจะใช้ไม่ได้ซักตู้
--พอทักษิณเล่นการเมือง ไปนานๆเข้า ก็เห็นว่าอำนาจรัฐมีประโยชน์ สร้างความร่ำรวยให้ได้มากมาย ความคิด... ก็เข้าครอบงำ จากนั้น..... ตามมาๆ

--ยุคนายก จิ๋ว ฟองสบู่แตก + ลดค่าเงินบาท ยุคนั้น ทักษิณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสนอให้ ชวลิตลดค่าเงินบาท ซึ่งถือเป็นผู้รู้ข้อมูลภายในล่วงหน้า (insider) ....
--ทักษิณ ได้ใช้ข้อมูลนั้น ในการดำเนินการ ประกันค่าเงินของ ทรัพย์สินและบริษัท ในตระกูลของตนเองและพวกพ้องทั้งหมดไว้ แค่นั้นยังไม่พอ..


--ทักษิณ และพวกพ้องกลุ่มนายทุนใหญ่ ระดับชาติ ใช้กลยุทธการ "ไซฟ่อนเงิน" เพื่อความร่ำรวย และซ้ำเติมความหายนะของชาติ ให้มากขึ้นไปอีก เพรายิ่งไทยหายนะเท่าไหร่ ค่าเงินบาทไทยก็ยิ่งลดลงไปมากเท่านั้น ซึ่งก็คือ...
--ทักษิณและพวกพ้อง ใช้วิธี กู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ ในประเทศให้ได้มากที่สุด แล้วนำไปแลกดอลล่าร์ไว้ เพราะรู้ข้อมูลล่วงหน้าว่า จะมีการประกาศลดค่าเงินบาท และเมื่อ ชวลิตลดค่าเงินบาทตามคำแนะนำของกลุ่มทักษิณ..
--ค่าเงิน จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ ก็ดิ่งลงสู่หายนะ ในเวลาอันรวดเร็ว โดยต่ำสุดอยู่ที่ 58 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์ ....... ทักษิณ และพวกพ้อง ก็เอาดอลล่าร์กลับมาแลกคือเป็นเงินบาทไทย "กำไรทันทีเกิน เท่าตัว!!!!"
--ทฤษฏี ของ สสาร ง่ายๆ คือ สสารไม่มีวันหายไปจากโลก เหมือนเม็ดทรายในท้องทะเล แค่ ย้ายจากที่หนึ่ง ไปสู่อีกที่หนึ่งเท่านั้นเอง ความร่ำรวย และยากจนก็ไม่ต่างกัน...
--เมื่อทักษิณ และพวกพ้องมีกำไรจากการประกันค่าเงิน และ ไซฟ่อนเงินเป็นมูลค่ามหาศาลเกิน 100% คนที่ขาดทุนก็คือประชาชนคนไทย และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจริงๆก็เหมือนมีเงินในกระเป๋าเท่าเดิม แต่ค่าของเงินหายไปเกินครึ่ง!!!
--ทักษิณและพวก ร่ำรวยขึ้นเป็นเท่าตัว บนความยากจนลงๆ ของประชาชนทั้งประเทศ จากการลดค่าเงินบาทในครั้งนี้


--คราวนี้ทักษิณก็มีทุน กระสุนดินดำ ไว้ใช้ในการเล่นการเมืองเต็มตัวแล้วสิ.....


--ทักษิณ ก็เริ่มใช้เงินที่ได้มา ซื้อพรรคการเมืองต่างๆ กวาด สส.พรรคต่างๆเข้าพรรคของตัวเอง เพราะเวลาทักษิณจะออกกฏหมาย หรือเปลี่ยนแปลงกฏหมายอะไร จะได้มี สส.ลูกน้อง คอยยกมือโหวดผ่านร่างในสภา ให้กฏหมายผ่านง่ายๆ ตามแต่ใจที่ต้องการ
--หลังจากทักษิณกวาดต้อน ใช้เงินซื้อ สส.ที่ขายตัว มาเป็นลูกน้องคอยยกมือให้ในสภาแล้ว ก็เริ่มจัดการแก้กฏหมายต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ เพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองก่อนเลย โดย...


--ทักษิณแก้กฏหมาย วิธีการจ่ายภาษีสัมปทานมือถือให้รัฐฯ โดยให้ บ. ตัวเองจ่ายน้อยลง ทำให้รัฐสูญเสียเงินรายได้ จากการจัดเก็บภาษีสัมปทานมือถือในทุกๆปี เป็นจำนวนเงินหลักหมื่นล้าน/ต่อปี...
--ผลจากการแก้กฏหมายดังกล่าว ......."รัฐฯจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้ไปอีก นานแสนนาน"

--เป็น ไงละ...ก็ เพราะทักษิณคุมอำนาจรัฐฯไว้ในมือ แต่ในขณะเดียวกัน ครอบครัวของทักษิณ ก็ดันทำธุรกิจกับภาครัฐฯ ไปด้วย... แล้วคิดว่า ทักษิณจะอยากให้รัฐฯได้ประโยชน์มากกว่า หรือ อยากให้ครอบครัวตัวเองได้ประโยชน์ มากกว่าหละ
--แน่นอนเมื่อสัญญาถูกแก้ ให้ครอบครัวทักษิณจ่ายภาษีมือถือน้อยลง รัฐก็จะมีเงินรายได้เข้าคลังน้อยลง เงินที่จะนำไปใช้ในการบริหารประเทศ ช่วยเหลือคนจนก็จะน้อยลง ยิ่งช่วงนั้น ไทยประสบปัญหา ฟองสบู่แตก ด้วย เงินในคลังก็ยิ่งน้อยลง


--ที่นี้ ทักษิณอยากได้เงินเข้าคลังเยอะๆ เพราะทักษิณเป็นรัฐบาล จะได้เอาเงินไปใช้จ่ายโครงการต่างๆ เพื่อให้พวกพ้องโกงกิน แต่ไทยยังติดหนี้ IMF และยังมีเงินในคลังน้อยอยู่ แล้วทักษิณจะทำไงดีละ.... ตามมาๆๆ

--ทักษิณ ก็ขายสมบัติชาติไง เพราะพอขายแล้ว ชาติจะได้มีเงินเข้าคลังเยอะๆ ทักษิณและพวกพ้อง สส.จะได้เอาไปถลุง + โกงกินทุกโครงการให้สบายใจ


--โดยเริ่มจากขาย ปตท. ซึ่งเดิมที ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือเรียกง่ายๆว่า ธุรกิจของรัฐฯ 100%
--ซึ่ง หมายความว่า.."กำไร" จากการขายน้ำมัน /ปิโตรเคมี /อะโรเมติค /พาราไซรีน ฯลฯ ทุกอย่างทุกชนิด ทุกบาท ทุกสตางค์ ของ ปตท จะกลับเข้าคลัง ไปเป็นงบประมาณของรัฐฯ เพื่อนำเงินนั้น กลับมาบำรุงชาติ/ประชาชน แต่ทักษิณก็ขาย...
--ซึ่งนั้นหมายความว่า กำไรจาก ปตท ที่ รัฐฯเคยเก็บได้ทุกปี 100% เต็ม "ตลอดอายุประเทศไทย".... จะไม่ได้เท่าเดิมอีกแล้ว เพราะต้องเอากำไรของชาติ ไปแบ่งให้ผู้ถือหุ้นด้วย ประเทศไทยจะสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ตลอดไป
--แถมทักษิณยังขาย ปตท. แบบโกงราคา สัดส่วนหุ้น ต่อหน่วยลงทุนด้วย!! งง มั้ย คืองี้....

--ปตท คือรัฐวิสาหกิจของประเทศ ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของ เราเลือก สส + นายก มาเป็น ผู้บริหารประเทศ หรือเรียกง่ายๆว่า ตัวแทน "ผู้จัดการมรดก"
--ทีนี้ เมื่อทักษิณเป็นรัฐบาล เป็นนายก เป็นผู้จัดการมรดกของชาติ ก็มีความคิดเอาทรัพย์สินของชาติ ไปขาย เพื่อให้มีเงินเข้าคลังเยอะๆ
--แทน ที่ทักษิณจะขายให้ได้กำไร หรือ อย่างน้อยเท่าทุน เพื่อให้ชาติได้เงินตามสมควร... แต่ทักษิณเอาสมบัติชาติไป.."ขายขาดทุน โดยให้ พวกพ้อง ญาติเป็นคนซื้อ"
--ทักษิณให้ญาติ และ พวกพ้อง สส.ของพรรค ซื้อสมบัติชาติ จนหมด และ ในราคา ต่ำกว่าต้นทุนหลายๆเท่า ดังตัวอย่างเช่น ประชาชน"คนแรก"ที่ไปรอต่อแถวซื้อหุ้น ปตท ตั้งแต่ตี 4 แค่กรอกใบสมัคร 1.14 นาที หุ้นก็หมดไปแล้ว...
--แต่ผู้ที่ได้มีสิทธซื้อ หุ้น เป็นจำนวนหลายล้านหุ้นต่อคน กลับเป็น คนในนามสกุล ที่เรารู้จักกันดีทั้งนั้น ทั้งๆที่ กฏหมาย ห้ามซื้อเกินคนละ 1 แสนหุ้น???
--แถม... ราคาหุ้น ที่พวกทักษิณได้มีสิทธิซื้อนั้น ต่ำกว่าราคาของความเป็นจริง หรือเรียกง่ายๆว่า ให้ญาติซื้อสมบัติชาติ ในราคาต่ำกว่าต้นทุนนั้นเอง
--ผล ที่ได้คือ พวกพ้อง ญาติร่ำรวย +ประชาชนไม่รับรู้ + ประเทศชาติ(พูดไม่ได้)ขาดทุน .......และยังมีเงินจากการขาย ปตท ครั้งนี้ เข้าคลังไปถลุง ซึ่ง..."น้อยกว่าที่ควรจะเป็น" อีกต่างหาก....เฮ้อ.
--นั้นคือ สาเหตุ ที่ราคาหุ้น PTT ณ.วันเปิดเข้าตลาดหลักทรัพย์ กับ วันนี้ ราคาสูงขึ้น เป็น 10 เท่าตัว.... กำไร 1000%
--สรุป ทักษิณบริหารสมบัติชาติ -- ชาติ (ประชาชน )ขาดทุนย่อยยับ -- ญาติ พวกพ้องมัน ร่ำรวย เพราะซื้อสมบัติของชาติต่ำกว่าทุน ...


--หน้าทีอีกอย่างของ ปตท คือ คอยถ่วงดุล + กดดัน + ควบคุมระดับราคาน้ำมันภายในประเทศ ไม่ให้แพงเกินจริง ซึ่ง...
--ว่า ง่ายๆก็คือ ถ้า ปตท ไม่ขึ้นราคาน้ำมันซะอย่าง แล้ว บ.น้ำมันข้ามชาติ เช่น เชล เอสโซ่ คาร์เทค จะขึ้นราคาน้ำมันมากแค่ไหนก็ตามใจ เพราะไม่มีใคร อยากไปเติมของแพง
--เมื่อ เป็นเช่นนั้น ถ้า ปตท พยายามกดดันราคาน้ำมันไว้ พวก บ.น้ำมันข้ามชาติทั้งหลาย ก็ไม่กล้าจะขึ้นราคาน้ำมันให้แพงเวอร์นัก เพราะ ประชาชนก็จะมีทางเลือกเติม ปตท ที่คิดราคาน้ำมันถูกกว่า
--ทีนี้ลองคิดตามนะ......


--ถ้า พวกทักษิณ เป็นรัฐบาล ควบคุมกลไกรัฐ ควบคุม ปตท.มีหน้าที่ คอยถ่วงดุล+กดดัน+ควบคุมระดับ ราคาน้ำมันภายในประเทศ ไม่ให้แพงเกินจริง.."แต่ขณะเดียวกัน พวกทักษิณ ก็ดันถือหุ้น ปตท ไปด้วย" ???
--นั้นหมายความว่า..."ถ้าปตท กำไรมาก พวกทักษิณก็จะกำไรมากๆด้วย !!!"
--แล้วทักษิณ และพวกพ้อง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกลไกรัฐฯ จะอยากทำให้น้ำมันแพงหรือถูกดีหละ....???
--เพราะ ถ้าทักษิณ ทำตามหน้าที่ โดยกดดันให้น้ำมันถูก ประชาชนก็จะได้ประโยชน์ ..แต่พวกทักษิณ ซึ่งถือหุ้น ปตท อยู่ ....."ก็จะกำไรน้อย"
--แต่ถ้า ทักษิณปล่อย ให้น้ำมันขึ้นๆแพงๆๆ ให้ประชาชนจ่ายค่าน้ำมันแพงๆเข้าไว้ โดยไม่คอยควบคุมกดดัน พวกทักษิณที่ถือหุ้น ปตท ก็จะได้กำไรเยอะตามไปด้วย!!


--จากการขาย ปตท พวกทักษิณ กำไร 3 เด้ง ...คือ
1 กำไรจากการได้ซื้อสมบัติชาติในราคาถูก
2 ปล่อยราคาน้ำมันขึ้นให้ประชาชน เติมน้ำมันแพง พวกทักษิณถือหุ้น ปตท ก็รวยไปด้วย
3 คลังมีเงินจากการขายสมบัติชาติ มาให้ถลุงเล่น
--นั้น คือเหตุผลที่ว่า น้ำมันทุกค่ายจับมือกันแพง จับมือกันขึ้นราคาไง จากยุคเชาวลิต 12-13 บาทต่อลิตร จน 45-48 บาทต่อลิตร และ... บ. ปตท กำไร ปีละเป็น แสนๆล้าน เยี่ยมมั้ย ไอ้ทักษิณ!!
--จากนั้น...รัฐบาลทักษิณ ก็ได้เงิน เข้ามาจากการขาย+โกง สมบัติชาติ เข้าคลัง... และ คลังก็มีเงินให้พวกทักษิณเอาไป ถลุงเล่นแล้ว... มาดูกันว่าทักษิณจะทำอะไรได้บ้าง ...


--ไทยมีเงินให้ถลุงแล้ว แต่ไทยก็ยังมีหนี้ IMF และเสียดอกเบี้ยอยู่ ทำไงดี ให้เอาเงินในคลังไปถลุงง่ายๆ โดยไม่โดน ฝ่ายค้านโจมตี และ ประชาชนด่า
--ทักษิณก็ปลดหนี้ IMF ไง จะได้ดูดี ไม่มีหนี้แล้ว เก่งด้วย
--กองทุน IMF เค้า ให้ค่อยๆผ่อน ค่อยๆเสียดอก แต่ ทักษิณ ดันจ่ายทั้งต้น ทั้งดอก ทั้งหมดเลยทีเดียว คนจะได้ว่าข้าเก่ง และเอาเงินไปทำอย่างอื่นได้ โดยไม่โดนประชาชนด่า แล้วมันไม่ดีตรงไหนช่ายมะ ..ดูนะ
--ต้น+ดอกเบี้ย ทุกปีอะ เค้าให้เราทะยอยจ่าย โดยคำนวนไว้แล้ว เหมือนคุณผ่อนบ้านอะ สมมุติผ่อนบ้านเดือนละ 5 หมื่น ผ่อน 20 ปี .. คำถามก็คือว่า
--"ค่าของเงิน" 5หมื่นในวันนี้ กับ "ค่าของเงิน" 5หมื่นใน อีก 20 ปีข้างหน้ามีค่าเท่ากันมั้ย ..คำตอบคือ...ไม่เท่าแน่ๆ
--ถ้า ให้จ่ายแบบปิดเงินต้น แล้ว ดอกมาคิดกันใหม่ก็ว่าไปอย่าง เหมือนเราจะ เทบ้าน เทต้น อะไรแบบนี้ แต่ถ้าต้องรวบยอด ทั้งต้นทั้งดอก ทั้งหมดจ่ายเลยวันนี้ "ค่อยๆผ่อนไปไม่ดีกว่าเหรอ" อีก 20 ปีข้างหน้า ถึงเราจะต้องจ่ายเท่าเดิม แต่ ค่าของเงินก็เปลี่ยนไป
--ก็เหมือนเราจ่ายจำนวนเงินเท่าเดิม แต่ค่าของเงินนั้นน้อยลง แต่รู้มั้ย ทักษิณทำเพื่ออะไร???


--คำ ตอบก็คือ ทักษิณต้องการให้ธนาคาร เอ็กซิมแบ้งค์ของรัฐ ปล่อยกู้พม่า ค่อนหมื่นล้าน โดยทักษิณตกลงกับพม่า ให้นำเงินก้อนนี้ "กลับมาซื้อสัมปทาน เครือค่ายโทรศัพท์ของตระกลูชินวัตร ไง" ....รัฐบาลมีเงินในคลังแล้วนิ รวยแล้ว..
--วิธีการก็ง่ายๆ ก็โอน 10% ให้นายพลเผด็จการพม่าใต้โต๊ะ อีก 90% เข้าบัญชีพจมานเลย เพราะกลัวพม่าโกง..แถมปล่อยกู้พม่า โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ถูกแสนถูก ถูกกว่าที่ไทยกู้จาก IMF มากนัก
--สรุป ปลดหนี้ จ่ายรวบ ดอกเบี้ย IMF ที่แแพงกว่า มาปล่อยกู้พม่า ในดอกเบี้ยที่ถูกกว่า...เพื่อให้พม่า เอาเงินมาซื้อสัมปทาน มือถือ ของตระกูลตัวเอง
--หลัง จากนั้นก็เริ่ม อภิมหาโครงการโกง ต่างๆ เช่น โคล้านตัว กล้ายาง กองทุนหมู่บ้าน สนุกสนานกันเข้าไป ยกตัวอย่างเด่นๆ ดังต่อไปนี้....


--ดาวเทียมไทยคม เคยรู้กันมั้ย??
--ประเทศ แต่ละประเทศ ตามสนธิสัญญาสากล ทุกประเทศ มีสิทธิในการใช้วงจรดาวเทียม ซึ่งแต่ละประเทศได้จำนวนวงโคจร มากน้อยนั้นไม่เท่ากัน... ขึ้นกับสัดส่วนพื้นที่ของแต่ละประเทศ และปัจจัยต่างๆมากมาย
--ดาวเทียม 1 ดวง สามารถหารายได้ จำนวนมหาศาล จากมัน เพราะขีดความสามารถทางด้านการสือสาร ทุกชนิด แล้วมีโครงข่ายสูง.... ทักษิณ เลยจัดการประมูลให้เอกชน เป็นผู้ได้สัมปทาน???
--เงื่อนไข ผู้มีสิทธิเข้าประมูล คุณสมบัติ แต่ละข้อนั้น ทักษิณกำหนดเอง ตั้งข้อจำกัดในเงื่อนไข จนให้ บ. ของตัวเองได้ในที่สุด และกำกับท้ายว่า ผู้ชนะการประมูล ให้ยกเว้น+ลด ค่าสัมประทานให้กับรัฐฯ ให้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย !!!
--รัฐ สูญเสียรายได้ ที่ควรจะจัดเก็บเข้าคลังได้อีกปีละเป็น หมื่นล้าน...รายได้เข้าคลังจะน้อยลง กว่าที่ควรจะเป็นไปอีกหลายสิบปี...
--ผล จากการประมูลสัมปทานดาวเทียม ซึ่งมีได้เพียงดวงเดียวในประเทศไทย ดังกล่าว ......."รัฐฯจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้ ไปอีกนานแสนนาน" อีกแล้ว...


--FTA
--เกษตรกร ทั้งหลาย คงไม่เข้าใจ ว่าทำไมทุกวันนี้ พืชผลทางการเกษตรถึงตกต่ำ ราคาถูกแสนถูก ถ้าอยากรู้ คุณต้องเข้าใจ คำว่า FTA ก่อนนะ มาดูกัน....
--เริ่มที่....
--"ยุคอดีต" ประเทศแต่ละประเทศ ไม่ได้มีการติดต่อการค้าสัมพันธ์กัน คนในประเทศ มีการเพราะปลูก พืชผล การผลิต ก็มักจะขายกันแต่ภายในประเทศ แน่นอนมันจะเกิดภาวะที่ว่า สินค้าบางอย่างมีปริมาณมากเกินไป แต่สินค้าบางอย่างก็ขาดแคลน
--"ยุคอดีต" สินค้าล้น มีปริมาณมากไปราคาก็จะถูก เพราะเกินความจำเป็น ส่วนสินค้าที่ขาดแคลน ราคาก็จะแพงโดด เพราะมีปริมาณความต้องการสูง เกิดความยากลำบากในการดำรงค์ชีวิต ของประชาชน
--ต่อมา.....

--"ยุค กลาง" มีการติดต่อ การค้าระหว่างประเทศ และเริ่มมีการนำสินค้า ที่มีปริมาณมากเกินไป "เหลือใช้" จากประเทศหนึ่ง ส่งไปค้าขายอีกประเทศหนึ่ง ที่มีความต้องการ หรือขาดแคลนสินค้านั้นๆ
--"ยุคกลาง" แน่นอนว่า...ถึงจะเป็นสินค้าขาดแคลน แต่สินค้าที่ขาดแคลนชนิดนั้นๆ ก็ยังมีประชาชนในประเทศ"บางส่วน" เป็นผู้ผลิตอยู่บ้าง ซึ่งอาจเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ
--"ยุคกลาง" ดังนั้น การนำเข้ามาสินค้าที่ขาดแคลน เข้ามาขาย ก็จะกระทบคนกลุ่มน้อยในส่วนนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ รัฐจึงต้องใช้มาตราการ การตั้งกำแพงภาษี เพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มน้อย ไม่ให้ถูกตัดราคาสินค้าจากประเทศอื่นๆ ที่ส่งสินค้าเหลือใช้เข้ามาขาย
--"ยุคกลาง" เพราะเมื่อภาษีสูง คนที่นำสินค้าที่มีปริมาณเกินความจำเป็น ของประเทศเค้า เข้ามาขายในประเทศเราก็จะมี ต้นทุนในการนำเข้าสูงตามไปด้วย จึงไม่สามารถขายตัดราคาสินค้า ของคนที่เพาะปลูกในประเทศได้
--สุดท้าย....

--"ยุคปัจจุบัน" เจตนารมณ์ของ FTA ก็ คือ ลดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าที่มีปริมาณมาก เกินความจำเป็นของแต่ละประเทศ เพื่อชดเชยความต้องการของประเทศ ที่ขาดแคลน และต้องการสินค้านั้นๆเหมือนกัน เพื่อให้เกิด "ดุลลภาพทางด้านการค้า"
--"ยุคปัจจุบัน" เมื่อเปิดเสรีการค้ามากขึ้น รัฐก็จะมีรายได้จากภาษี ของผู้ที่นำเข้าสินค้านั้นๆ มาขายภายในประเทศ ในสัดส่วนที่มากขึ้นตามไปด้วย และรัฐฯก็จะนำเงินภาษีที่ได้ไปอุดหนุ่น ไปช่วย เกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจาก สินค้าที่ถูกตัดราคาจากสินค้าที่นำเข้ามา



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เรื่องของพวกสลิ่ม
เกิดมาก็หลายสิบปี ...

ที่ทำให้เราได้เห็นอะไรที่ไม่เคยได้เห็นมาตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น.......

1. ได้เห็น นายกหญิงคนแรกและอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่กลับนำความฉิบหายมาให้กับประเทศมากที่สุด

2. ได้เห็น รถจอดเต็มแม่งทุกสะพานและทางด่วน เหลือทางวิ่งแค่ช่องเดียวทั่ว กทม

3. ได้เห็น ถุงทรายราคาแพงพอๆกับถุงข้าว

4. ได้เห็น มาม่า ปลากระป๋อง น้ำดื่ม แม่งหมดห้าง

5. ได้เห็น ไข่ไก่ที่โคตรแพงฟองละ 8 บาท และยังหาซื้อไม่ได้

6. ได้เห็น เซเว่นร้าง มีเหลือแต่พนักงานคิดเงิน

7. ได้เห็น shelf ที่ว่างเปล่าในโลตัส

8. ได้เห็น แม่งน้ำดื่มแพงกว่าน้ำมัน

9. ได้เห็น ของที่ทุกบ้านต้องมี คือ กระสอบทราย

10. ได้รู้ รสชาติของนำ้ดื่มจากคลองประปาผสมศพคนตายลอยคอ คละน้ำเน่า

11. ได้เห็น สันดานคนไทย vs นิสัยคนญี่ปุ่น เมื่อเจอวิกฤติ

12. ได้เห็น น้ำท่วมกทมและปริมณฑล แบบมิดหัวแบบตัวเป็นๆ

13. ได้เห็น คนถูกจระเข้กัดที่กลางเมืองหลักสี่

14. ได้เห็น คนพายเรือกลางถนน แล้วต้องปีนจากเรือขึ้นไปต่อรถไฟฟ้า

15. ได้เห็น ว่าทำไมเครื่องบินแม่งถึงเรียกว่าเรือบิน

16. ได้เห็น ที่ดอนกลับน้ำท่วมแต่แม่งที่หนอง(งูเห่า)น้ำไม่ท่วม

17. ได้เห็น ไอ้คนเตี้ยมันโคตรเก่งและโคตรเอี้ย มันสั่งได้ว่าให้น้ำมันท่วมหรือไม่ท่วมตรงไหนก็ได้

18. ได้เห็น ที่สุพรรณบุรีสูงกว่าภูเขา น้ำจะไม่ท่วมตลอดปีตลอดชาติ

19. ได้เห็น คนนั่งเก้าอี้หรือนั่งบนกล่องกระดาษก็ขี้ได้ด้วย

20. ได้เห็น รถก็ห่อเป็นของขวัญได้เหมือนกัน

21. ได้เห็น เรือพลาสติกราคาแพงเท่ารถมอเตอร์ไซค์

22. ได้เห็น ค่าเรือจ้างมหาโหดต้องควักจ่ายเป็นพัน

23. ได้เห็น คนแม่งต้องนั่งคุกเข่ากด ATM

24. ได้เห็น ความหมายของคำว่า "เอาอยู่" ก็คือ "ฉิบหาย ณ บัดดล"

25. ได้เห็น ของบริจาคกองเป็นภูเขาแต่ชาวบ้านยังไม่มีของกิน

26. ได้เห็น คนเลวชาติเอาของบริจาคไปใส่ชื่อเอี้ยๆของตัวเอง

27. ได้รู้ว่า ประเทศไทยมีเดือนที่ 13 คือพฤศจิกาคม

28. ได้เห็น อยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 3 ในช่วงชีวิต

29. ได้เห็น นิคมอุตสาหกรรมแตก 7 นิคมแบบเละเทะ

30. ได้เห็น ตลาดน้ำที่แม่งใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่พุทธมณฑล 1 - 6

31. ได้เห็น คนตกงานเป็นล้านคนในพริบตา

32. ได้เห็น คนแก่ คนพิการ ต้องถูกหามลงเรืออย่างน่าสงสารและสมเพช

33. ได้เห็น หมาและแมวถูกทิ้งเป็นพันๆตัว

34. ได้เห็น ธนาคารใหญ่สีลมตั้งบังเกอร์สูง แม่งอย่างกับจะไปรบกับเขมรแดง

35. ได้เห็น พัทยาและหัวหินแทบระเบิดเต็มไปด้วยผู้อพยพ

36. ได้เห็น คนกลางมุ้งเป็นบ้านนอนเต็มสะพานลอย

37. ได้เห็น คนถูกไฟดูดตายเป็นร้อย

38. ได้เห็น วัดพระแก้ว วัดคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย ถูกน้ำท่วม

39. ได้เห็น คนใช้แหจับปลากลางถนนวิภาวดี

40. ได้เห็น บ้านริมทะเลสาบเป็นแสนๆหลัง

41. ได้เห็น ครอบครัวกระเด็นกระดอน ปู่ย่าตายายไปอยู่ต่างจวฺ. พ่อแม่ไปอยู่โรงแรม. ลูกวัยรุ่นไปอยู่คอนโดเพื่อน, สัตว์เอาไปฝากเลี้ยง

42. ได้เห็น ปัญญาชนกรอกทราย

43. ได้เห็น ควายบริหารประเทศ

44. ได้เห็น ประจักษ์ตากับความหมายที่ว่านำ้ท่วมไม่กลัว แต่กลัวผู้นำโง่

45. ได้เห็น คนที่แม่งเป็นแต่ตัดริบบิ้น, ทาสี และยืนบีบน้ำตาก็เป็นนายกประเทศไทยได้

46. ได้เห็น นายกผมตั้ง ปากแดง แก้มชมพู แม่งสวยทุกวัน ไม่ว่าปชช.จะตกทุกข์ได้ยากยังไง

47. ได้เห็น ไอ้น้องน้ำมันโคตรเก่งเลย สอบเข้าได้ตั้งหลายมหาวิทยาลัย

48. ได้เห็น ทหาร 1 คนมีค่ามากกว่า ส.ส. ทั้งสภา แต่มีเงินเดือนไม่ถึง 10% ของส.ส. 1 คน

49. ได้ เห็น น้ำใจและความแน่วแน่ ของทหารแบบไม่เคยคิดสงสัย ว่าเค้าทำเพื่อใคร เพื่ออะไร ทั้งที่ โดน ส.ส. ของพวกที่นั่งด่าอยู่ทุกวัน... บลา บลา บลา!! #

และสุดท้าย

50. ได้เห็น นายกไทยหน้าด้านที่สุดในโลก ทำประเทศไทยฉิบหาย 9 แสนล้าน ยังหน้าด้านไม่ลาออกไป แต่กลับบีบน้ำตาให้คนสงสาร


ร" และพวกพ้อง

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

6 ปี...สังหาร 20 ศพ นักฆ่าสองฝั่งโขง!!!
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ล้มเหลว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 ปรากฏว่าแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ที่ยังหลบหนีอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยถูกลอบสังหารไปแล้วกว่า 20 ศพ
คดีลอบสังหารแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ในภาคอีสานของไทยเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุการณ์ พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 แต่แผนการล้มเหลว ครั้งนี้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ ส่วนอีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้าไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
นับแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แกนนำ ขตล.กว่า 20 ราย ถูกลอบสังหารแต่ก็ไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่คดีสังหาร ร.อ.สุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาวแกนนำ ขตล. อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ภรรยา ในบ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม รายล่าสุด ทำให้คดีสังหารแกนนำ ขตล.ที่ผ่านมา ถูกขยายผลมากขึ้น
เมื่อผู้ต้องหา 2 ราย ให้การรับสารภาพ อ้างว่ารับแจ้งฆ่ารายละ 1 แสนบาท จนได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง"
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 25 พฤษภาคม พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รองผบช.ก.แถลงข่าวจับกุมนายอาทิตย์ หรือลม กลิ่นจันทร์ อายุ 25 ปี ชาว ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย และนายสุวัฒน์ สุทธัง ผู้ต้องคดีฆ่า ร.อ.สุกันและภรรยา เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม
รอง ผบช.ก.แถลงว่า วันที่ 11 พฤษภาคม 2549 เวลาประมาณ 23.30 น.นายอาทิตย์ร่วมกับนายสุวัฒน์และนายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา อายุ 25 ปี ฆ่านายสุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาว อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ที่บ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี แต่วันรุ่งขึ้นตำรวจสามารถติดตามจับกุมนายสุวัฒน์ได้ และให้การซัดทอดว่า ร่วมกับนายอาทิตย์และนายสมบัติฆ่าอดีตทหารลาว
"ผู้ต้องหาสารภาพว่าร่วมกันสังหารคนลาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขบวนการต่อต้านลาว หรือ ขตล.มาแล้วรวม 17 ราย ในหลายพื้นที่ได้แก่ จ.อุบลราชธานี หนองคาย อุดรธานี และเลย นอกจากนี้ยังก่อเหตุที่ จ.มุกดาหาร และนครพนม รวมทั้งสังหารนายอนุวงศ์และนางอุไรวรรณ เศรษฐาธิราช ที่ศาลาแก้วกู่ ฆ่านายคำหยาด หรือ ร.อ.คำฝู ท้องที่ อ.ภูหลวง จ.เลย ฆ่านายบุญมี นาระนาด ท้องที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาทั้งสองคนได้ฉายาว่านักฆ่าสองฝั่งโขง รับเงินค่าจ้างศพละ 1 แสนบาท"
จากการสืบสวนทางลับพบว่า นายอาทิตย์เรียนจบชั้น ม.6 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.หนองคาย เมื่ออายุ 14 ปี ถูกจับกุมข้อหาฆ่าคนตายพร้อมเพื่อนคู่หู คือ นายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา ถูกส่งเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดหนองคาย 4 ปี และเมื่ออายุย่างเข้า 19 ปี ก็เข้าสู่วงจรมือปืนรับจ้าง
ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อปี 2543 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้าไปก่อกวนรัฐบาลลาว ด้วยการเข้าบุกยึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม แต่แผนการล้มเหลว ทำให้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ อีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้ามาประเทศไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คดีสังหารแกนนำ ขตล.ก็เกิดขึ้นทุกปี ไม่เคยมีเว้นวรรค !!!
รายแรก ท้าวภูเวียง คนร้ายนั่งเรือหางยาวใช้ปืนอาก้าบุกเข้าไปสังหารในบ้านพัก ที่บ้านคันท่าแพ ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2544 ผ่านไป 1 เดือน ท้าวสง่าก็ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิต ที่บ้านเหล่าอินแปลง ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร และราวเดือนพฤศจิกายน คนร้ายใช้อาวุธปืน 11 มม.ยิงท้าวทองเสียชีวิต ที่บ้านสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร
ปี 2545 คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงท้าวคำบอน ที่บ้านคำมันปลา อ.สิรินธร แต่ไม่เสียชีวิต หลังรักษาตัวจนหายดีก็หนีออกจากพื้นที่ และไม่ได้กลับมาอีกเลย
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2546 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หัวหน้าขบวนการต่อต้านลาวถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามชนิดอาก้ายิงเสียชีวิตใน หมู่บ้านประชาสมบูรณ์ ต.นิคมลำโดมน้อย อ.สิรินธร
เดือนธันวาคม 2546 นายอุดร หรือน้อย มั่นคง พ่อค้าขายผลไม้ในตลาดสด อ.เขมราฐ ที่ดูแลการโอนเงินระหว่างประเทศข้ามฝั่งจากประเทศไทยไปที่เมืองละครเพ็ง แขวงสาละวัน ประเทศลาว ถูกอุ้มตัวข้ามฝั่งไปคุมขังในประเทศลาว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เดือนตุลาคม 2548 นายชูชาติ ฉิมฤทธิ์ หรือหลวงบริบูรณ์ อดีตนายทหารรัฐบาลลาวฝ่ายขวา ยศ "พ.อ." และเป็นนักเคลื่อนไหวกับ ร.อ.คำเผย สายกงจักร หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน.38 ยิงเสียชีวิตในบ้านพัก ที่บ้านนาอุดม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ส่วน ร.อ.คำเผย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นายสุพรรณ" ไม่ทราบนามสกุล
แกนนำ ขตล.รายล่าสุด คือ ร.อ.สุกัน ที่สู้รบกับรัฐบาลลาวมาตั้งแต่อายุ 14 ปี หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็ถูกฆ่าตายพร้อมนางจันทร ภรรยา ที่บ้านคำเปื่อย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร
ส่วนผู้ต้องหาคดีบุกยึดด่านวังเตาที่เป็นคนลาว 16 คน ที่ถูกจับดำเนินคดีในประเทศลาว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ศาลประชาชนแห่งแขวงจำปาสัก ตัดสินจำคุกท้าวสวง แสงสุระ นักโทษการเมืองที่ร่วมกันบุกยึดด่านวังเตาและพวกรวม 8 คน คนละ 12 ปี จำคุกท้าวคำ ไชยวงศ์ กับพวกรวม 6 คน คนละ 7 ปี และจำคุกท้าวแสง จำปา กับท้าวสม ไชยวงศ์ คนละ 2 ปี 6 เดือน
ปัจจุบันมีแกนนำ ขตล.ที่ยังเคลื่อนไหวเหลืออยู่เพียง ร.อ.คำเผย สายกงจักร เท่านั้น
คำรับสารภาพของผู้ต้องหาที่ได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง" ในคดีฆ่าแกนนำ ขตล.รายล่าสุด เป็นเพียงคำให้การที่ตำรวจต้องหาพยานหลักฐานเพื่อประกอบสำนวนส่งฟ้องศาล แต่คำรับสารภาพของผู้ต้องหา 2 รายนี้ ก็ถูกปฏิเสธจากนายยง จันทะลังสี โฆษกกระทรวงต่างประเทศลาว ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะลาวมีกองกำลังไว้เพื่อป้องกันประเทศ ไม่เคยเข้าแทรกแซงประเทศอื่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ลาวถือว่าเป็นเรื่องภายในของไทย แต่การจะกล่าวหาผู้ใดต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน




นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ล้มเหลว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 ปรากฏว่าแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ที่ยังหลบหนีอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยถูกลอบสังหารไปแล้วกว่า 20 ศพ
คดีลอบสังหารแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ในภาคอีสานของไทยเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุการณ์ พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 แต่แผนการล้มเหลว ครั้งนี้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ ส่วนอีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้าไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
นับแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แกนนำ ขตล.กว่า 20 ราย ถูกลอบสังหารแต่ก็ไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่คดีสังหาร ร.อ.สุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาวแกนนำ ขตล. อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ภรรยา ในบ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม รายล่าสุด ทำให้คดีสังหารแกนนำ ขตล.ที่ผ่านมา ถูกขยายผลมากขึ้น
เมื่อผู้ต้องหา 2 ราย ให้การรับสารภาพ อ้างว่ารับแจ้งฆ่ารายละ 1 แสนบาท จนได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง"
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 25 พฤษภาคม พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รองผบช.ก.แถลงข่าวจับกุมนายอาทิตย์ หรือลม กลิ่นจันทร์ อายุ 25 ปี ชาว ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย และนายสุวัฒน์ สุทธัง ผู้ต้องคดีฆ่า ร.อ.สุกันและภรรยา เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม
รอง ผบช.ก.แถลงว่า วันที่ 11 พฤษภาคม 2549 เวลาประมาณ 23.30 น.นายอาทิตย์ร่วมกับนายสุวัฒน์และนายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา อายุ 25 ปี ฆ่านายสุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาว อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ที่บ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี แต่วันรุ่งขึ้นตำรวจสามารถติดตามจับกุมนายสุวัฒน์ได้ และให้การซัดทอดว่า ร่วมกับนายอาทิตย์และนายสมบัติฆ่าอดีตทหารลาว
"ผู้ต้องหาสารภาพว่าร่วมกันสังหารคนลาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขบวนการต่อต้านลาว หรือ ขตล.มาแล้วรวม 17 ราย ในหลายพื้นที่ได้แก่ จ.อุบลราชธานี หนองคาย อุดรธานี และเลย นอกจากนี้ยังก่อเหตุที่ จ.มุกดาหาร และนครพนม รวมทั้งสังหารนายอนุวงศ์และนางอุไรวรรณ เศรษฐาธิราช ที่ศาลาแก้วกู่ ฆ่านายคำหยาด หรือ ร.อ.คำฝู ท้องที่ อ.ภูหลวง จ.เลย ฆ่านายบุญมี นาระนาด ท้องที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาทั้งสองคนได้ฉายาว่านักฆ่าสองฝั่งโขง รับเงินค่าจ้างศพละ 1 แสนบาท"
จากการสืบสวนทางลับพบว่า นายอาทิตย์เรียนจบชั้น ม.6 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.หนองคาย เมื่ออายุ 14 ปี ถูกจับกุมข้อหาฆ่าคนตายพร้อมเพื่อนคู่หู คือ นายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา ถูกส่งเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดหนองคาย 4 ปี และเมื่ออายุย่างเข้า 19 ปี ก็เข้าสู่วงจรมือปืนรับจ้าง
ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อปี 2543 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้าไปก่อกวนรัฐบาลลาว ด้วยการเข้าบุกยึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม แต่แผนการล้มเหลว ทำให้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ อีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้ามาประเทศไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คดีสังหารแกนนำ ขตล.ก็เกิดขึ้นทุกปี ไม่เคยมีเว้นวรรค !!!
รายแรก ท้าวภูเวียง คนร้ายนั่งเรือหางยาวใช้ปืนอาก้าบุกเข้าไปสังหารในบ้านพัก ที่บ้านคันท่าแพ ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2544 ผ่านไป 1 เดือน ท้าวสง่าก็ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิต ที่บ้านเหล่าอินแปลง ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร และราวเดือนพฤศจิกายน คนร้ายใช้อาวุธปืน 11 มม.ยิงท้าวทองเสียชีวิต ที่บ้านสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร
ปี 2545 คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงท้าวคำบอน ที่บ้านคำมันปลา อ.สิรินธร แต่ไม่เสียชีวิต หลังรักษาตัวจนหายดีก็หนีออกจากพื้นที่ และไม่ได้กลับมาอีกเลย
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2546 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หัวหน้าขบวนการต่อต้านลาวถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามชนิดอาก้ายิงเสียชีวิตใน หมู่บ้านประชาสมบูรณ์ ต.นิคมลำโดมน้อย อ.สิรินธร
เดือนธันวาคม 2546 นายอุดร หรือน้อย มั่นคง พ่อค้าขายผลไม้ในตลาดสด อ.เขมราฐ ที่ดูแลการโอนเงินระหว่างประเทศข้ามฝั่งจากประเทศไทยไปที่เมืองละครเพ็ง แขวงสาละวัน ประเทศลาว ถูกอุ้มตัวข้ามฝั่งไปคุมขังในประเทศลาว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เดือนตุลาคม 2548 นายชูชาติ ฉิมฤทธิ์ หรือหลวงบริบูรณ์ อดีตนายทหารรัฐบาลลาวฝ่ายขวา ยศ "พ.อ." และเป็นนักเคลื่อนไหวกับ ร.อ.คำเผย สายกงจักร หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน.38 ยิงเสียชีวิตในบ้านพัก ที่บ้านนาอุดม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ส่วน ร.อ.คำเผย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นายสุพรรณ" ไม่ทราบนามสกุล
แกนนำ ขตล.รายล่าสุด คือ ร.อ.สุกัน ที่สู้รบกับรัฐบาลลาวมาตั้งแต่อายุ 14 ปี หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็ถูกฆ่าตายพร้อมนางจันทร ภรรยา ที่บ้านคำเปื่อย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร
ส่วนผู้ต้องหาคดีบุกยึดด่านวังเตาที่เป็นคนลาว 16 คน ที่ถูกจับดำเนินคดีในประเทศลาว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ศาลประชาชนแห่งแขวงจำปาสัก ตัดสินจำคุกท้าวสวง แสงสุระ นักโทษการเมืองที่ร่วมกันบุกยึดด่านวังเตาและพวกรวม 8 คน คนละ 12 ปี จำคุกท้าวคำ ไชยวงศ์ กับพวกรวม 6 คน คนละ 7 ปี และจำคุกท้าวแสง จำปา กับท้าวสม ไชยวงศ์ คนละ 2 ปี 6 เดือน
ปัจจุบันมีแกนนำ ขตล.ที่ยังเคลื่อนไหวเหลืออยู่เพียง ร.อ.คำเผย สายกงจักร เท่านั้น
คำรับสารภาพของผู้ต้องหาที่ได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง" ในคดีฆ่าแกนนำ ขตล.รายล่าสุด เป็นเพียงคำให้การที่ตำรวจต้องหาพยานหลักฐานเพื่อประกอบสำนวนส่งฟ้องศาล แต่คำรับสารภาพของผู้ต้องหา 2 รายนี้ ก็ถูกปฏิเสธจากนายยง จันทะลังสี โฆษกกระทรวงต่างประเทศลาว ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะลาวมีกองกำลังไว้เพื่อป้องกันประเทศ ไม่เคยเข้าแทรกแซงประเทศอื่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ลาวถือว่าเป็นเรื่องภายในของไทย !!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ໄຮໂຊneoລາວ ມີແຕ່ລູກແຕ່ຫລານ ພວກໂຈນອອກຈາກຖ້ຳ ວຽງໄຊ ປິ 1975 ເຂົ້າມາວຽງ ສົ້ງຂາດຫ້ນາເສື້ອຂາດຫລັງ ໄສ່ແຕ່ເກິດປາອິຮຶ ຫາເງີນດົ້ງອັດນື່ງຕິດຕັວກະບໍ່ມິເຫັນສັງຄົມຜູດິ ນູ່ງສີ້ນໄຫມ ເຕະເຂົ້າຄຸກດອນທ້າຍດອນນາງທັງຫມົດເລີຍ
ເຫັນເຮຶອນງາມໆ ທີ່ຝ່າຍ ວຈ ສ້າງໄວ້ ປົ້ນຈີ້ເອົາແບບສຸດເຖື່ອນ ບໍ່ເຄີຍມີຍຸກໃດ ໃນປະວັດສາດໄຫ່ມໆ ຂອງ ລາວຈະເປັນເຊັ່ນນີ້
ເຄີ່ງ ສຕວ ຜ່ານໄປ ກັບພຽງໄດ້ແຕ່ແລ່ນນຳກົ້ນແກວແລະສຍາມຫລາກແຫລ້
ທັງໆ ພີ່ນ້ອງ ລາວກ່ວາ40 ລ້ານຄົນໃນ ປທທ ເຂົາເບື່ອແລ້ວ ສັງຄົມເເອົາລັດເອົາປຽບຂູດຮິດ ດູຖູກເຊື້ອຊາດລາວເຮົານິ້
ຝູຍ ກູອາຍຕາງ
ກ່ອນ75 ສັງຄົມລາວເຂົາແລ່ນຕາມຫລັງສັງຄົມຝຣັ່ງອັງກິດ ອມຣກ ຍີ່ປູ່ນ
ນີ້ຄືຄວາມກ້າວຫ້ນາຂອງສັງຄົມລາວແດງ ພາຍໄຕ້ການນຳພາຂອງຣາຊວົງ ຄມນ ຜດກ ຍາວນານ

http://pasalao.activeboard.com/t47000705/topic-47000705/?page=last#lastPostAnchor

Facebook :
Anourak Anourak Phiphikasa
Anourack Phiphaksa
http://www.facebook.com/#!/profile.php?id=100002868526558

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສຸກສັນ ວັນປິໄຫ່ມ ທຸກທັ່ວຫ້ນາ
ປິ12 ຢ່າຍາກໄຮ້ ໃຫ້ສຸກສັນ
ໄຮ້ທຸກໂສກ ໄຮ້ໂຣກພັຍ ໃຫ້ມີດິ
ອິກມັ່ງມີ ສັບເງິນທອງ ກ້າວກອງໄກ
ເຮົາ ພ້ອມຂໍ ອ່ວຍພອນໃຫ້ ດ້ວຍໄຈຈິງ
ຂໍທຸກສີ່ງ ທີ່ຂໍນັ້ນ ທຸກທ່ານໄດ້
ປິໄຫ່ມນີ້ ເສຣິຊົນ ແລະ ພີ່ນ້ອງລາວ
ຄິດສິ່ງໃດ ແນວຄິດຊາດ ຕ້ານແນວລາວ
ຜະເດັດການ ຕັວການໄຫ່ຍ ໄປໄກແສນ
ຢ່ານອບແນບ ບີບນ້ຳຕາ ໃຫ້ລີງຮັກ
ນັ່ງຈົນຕາຍ ຕິດແທບບອດ ກອດອຳນາດ
ພາກັນລົງ ປົງອຳນາດ ເພາະຈິບຫາຍ
ເຫືມອນຄວາມຫວັງ ດັ່ງເຮົາຄິດ ໃນໄຈເອີຍ


ທິມງານ
www.siengserixonlao.com
ຂໍມອບໃຫ້ແຟນໆ ລາວໂຮມລາວດ້ວຍໄຈຈີງ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

BAC THONGDOUANG BAC XAT SUA BURNED OUR CAPITAL VIENTIANE AND MASSACRED THE TCHEK PON LAO KING THAKSIN

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

พ.ศ. ๒๓๑๔ หลังจากที่พระเจ้ากรุงธนบุรีตีเขมรได้แล้ว ก็ให้นักองรามาธิบดีขึ้น เป็น
สมเด็จพระรามาธิราช ครองเขมร และให้เจ้าพระยาจักรี (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
อยู่ช่วยราชการจนเรียบร้อย ฝ่ายพม่าก็ยกทัพมารักษาเมืองเชียงใหม่ไว้ซึ่งขณะนั้น
เชียงใหม่ยังคงตกเป็นของพม่าอยู่ และดันทะลึ่งเข้ามาตีเมืองพิชัยถึงสองครั้ง แต่ทว่า
ถูกทัพเมืองพิชัยตีแตกกลับไปทั้งสองครั้ง ในการรบครั้งที่ ๒ พระยาพิชัยถือดาบสองมือ
ออกไปต่อสู้จนดาบหักไปข้างหนึ่ง จึงไดัรับสมญานามว่า " พระยาพิชัยดาบหัก "เป็น
ต้นมาตั้งแต่นั้น

พ.ศ. ๒๓๑๗ พระเจ้ากรุงธนบุรีเข้าตีเมืองเชียงใหม่จนได้ เมื่อตีได้แล้วทรงสั่งให้
เจ้าพระยาจักรีช่วยจัดการให้เรียบร้อย แล้วจึงเสด็จกลับ ในระยะนั้นมอญจากเมือง
เมาะตะมะได้หนีการรุกรานของพม่าเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจากหลายทางด้วยกัน
พม่าก็ส่งกองกำลังตามเข้ามาทุกทางเช่นกัน แตก็ถูกตีแตกกลับไปทุกครั้ง

พ.ศ. ๒๓๑๘ อะแซหวุ่นกี้ ยกทัพใหญ่มาล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาจักรี รักษาเมืองได้
๑๐ เดือน อาหารหมดจึงต้องตีฝ่าข้าศึกออกมาภายนอก พอดีกับ พระเจ้ามังระ
กษัตริย์พม่าได้สวรรคตลง อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่าจึงต้องยกทัพกลับไป ซึ่งครั้งนี้แหละ
ครับ ที่เกิดเรื่องเล่าเกี่ยวกับการที่อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี (ซึ่งนักวิชาการหลาย
ท่านตั้งข้อสังเกตุว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาในภายหลัง)

พ.ศ. ๒๓๒๐ เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปปราบพระยานางรอง
ที่เอาใจออกห่างไปขึ้นกับเมืองจำปาศักดิ์หรืออาณาจักรลาวนั่นเอง ซึ่งสามารถตีได้ทั้ง
เมืองจำปาศักดิ์, สีทันดร และอัตปือ รวมทั้งหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งหมดในภาคนั้น

พ.ศ. ๒๓๒๑ พระวอ - พระตา บุตรเจ้าปางคำ แห่งเมืองหนองบัวลุ่มภู เป็นเสนาบดี
พระเจ้าสิริบุญสาร กรุงศรีสัตนาคนหุต หนีเข้า มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเพื่อหลบภัย
การเมืองเพราะไม่ถูกกับเจ้าผู้ครองในอาณาจักรลานช้าง และถูกกองทัพเวียงจันทน์
ตามปราบปราม จึงโปรดให้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
กับ เจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปช่วย สยามจึงได้อาณาจักรลานช้างทั้งหมด และทรง
อาราธนา พระแก้วมรกต และพระบาง มาจากเมืองเวียงจันทน์ด้วย
พ.ศ. ๒๓๒๒ พระแก้วมรกต มาถึงกรุงธนบุรี

พ.ศ. ๒๓๒๓ เขมรเกิดจลาจลเนื่องจากคนในราชสำนักญวณ ก่อการกบฏในญวณ
แต่ไม่สำเร็จ จึงอพยพยกพลเข้ามาตั้งฐานที่มั่นในเขมร และทำการปล้นสะดมจาก
ชาวบ้าน เพื่อสั่งสมกองกำลังหวังที่จะกลับไปปฏิบัติการอีกครั้งในประเทศญวณ
พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพขึ้นไปปราบ
แต่ไปไม่ถึงพนมเปญเพราะเกิดจลาจลและกบฏพระยาสรรค์ในกรุงธนบุรี ต้องยก
ทัพกลับเข้าพระนคร จนเป็นต้นเรื่องของการจับกุมตัวและสำเร็จโทษพระเจ้ากรุงธนบุรี
ในเวลาอีก ๒๘ วันถัดมาหลังจากทัพของ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกลับเข้าสู่กรุงธนบุรี

ข้อมูลจาก ปรามินทร์ เครือทอง
ข้อมูลจาก ท่าน มหาชำร่วย แห่งบ้านราชดำเนินครับ
ขอบคุณครับ
เอาแหละ เรามาดูยอดทะหารของพระองค์ท่านดีกว่าครับว่ามีใครบ้าง.....
การที่พระองค์ท่านทรงรอดพ้นจากการถูกประหารนั้น เป็นการช่วยเหลือจากเจ้าพระยาสุรสีห์-เจ้าศิริรจจา(ชายา) วางแผนช่วยเหลือกับท่านเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช(หนู) โดยให้ทหารจากวังหน้า 4 นาย พายเรือเล็กพาพระองค์ไปส่งขึ้นเรือใหญ่ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา(สมุทรปราการใน ปัจจุบัน) และให้นำทหารที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับพระองค์ท่านไปจองจำไว้แทนโดยในตอนเช้า วันประหาร(6/4/2325) เจ้าพระยาสุรสีห์ ทรงวางแผนให้นำถุงผ้าแดงคลุมศีรษะออกมาเพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นทราบถึง เรื่องการเปลี่ยนตัวครับ
ส่วนบรรดาทหารที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารเสือพระ เจ้าตาก หรือเหล่าทหารเอกนั้นมีทั้งสิ้น 7 นาย โดย 6 นายได้ติดตามพระองค์มาแต่ครั้งยกทัพออกจากวัดพิไชย ส่วนอีก 1 นายนั้น ได้มาช่วยในศึกตีเมืองจันทบูรและเป็นบุคคลที่ได้ช่วยเหลือพระองค์ในหลายๆ เรื่องตั้งแต่เรื่องช่วยดูแลครอบครัวของพระองค์ โดยก่อนพระองค์จะยกทัพออกจากกรุงศรี ก็ได้ช่วยพระองค์พาครอบครัวไปส่งที่อัมพวาเพื่อให้พระองค์จะได้มิต้องทรง กังวลพระทัย ครั้นพม่ายกทัพบุกใกล้ถึงอัมพวาทหารเสือท่านนี้ ก็ยังได้พาครอบครัวของพระองค์ไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำเขาหลวง เมืองเพชรบุรี และพอทราบข่าวว่าพระองค์บุกเมืองจันทบูรได้แล้ว ก็ยังได้พาครอบครัวของพระองค์มาส่งที่เมืองจันทบูรอีกด้วยครับ.(ทหารเสือ ท่านนี้คือเจ้าพระยาสุรสห์คัรบ)
รายนามของเหล่าทหารเสือขององค์สมเด็จพระเจ้าตากสิน มีดังต่อไปนี้ครับ
1.พระเชียงเงิน ได้เป็นพระยาสุโขทัย ครองเมืองสุโขทัย ถึงอนิจกรรมราวปี 2320
2.หลวงพรหมเสนา
3.หลวงราชเสนา
4.ขุนหาญศึก(อภัยภักดี)
5.หมื่นราชเสน่หา
6.หลวงพิไชยอาสา ได้เป็นพระยาพิไชย ครองเมืองพิไชย(อุตรดิตถ์ ในปัจจุบัน)
7.พระยายมราช ได้เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช ครองเมืองพิษณุโลก ทิวงคตปี 2346
โดย 5 ท่านแรกได้เสียชีวิตในระหว่างช่วงศึกสงครามก่อนปี 2325 ส่วนอีก 2 ท่านได้มีชีวิตอยู่จนถึงวัยชราภาพ โดยท่านพระยาพิไชยได้ไปอยู่กับพระองค์ท่านที่เขาขุนพนมจวบจนวาระสุดท้ายครับ
ครา่วนี้เรามาดูเรื่องเล่าของชาว นครศรีธรรมราชครับ
ส่วนเมืองนครศรีธรรมราชมีตำนานเล่ากันว่า เมื่อสิ้นรัชกาลแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินได้หลบมาบวชและพำนักอยู่ที่นครศรีธรรมราช ที่ประทับได้แก่ ที่อำเภอลานสกา และที่อำเภอเมือง ปัจจุบันเล่ากันว่า ที่อำเภอลานสกาเป็นที่ซึ่งพระองค์ได้แวะพักระหว่างที่เสด็จมายังเมืองนครฯ ส่วนที่ประทับถาวรก็คือ วัดเขาขุนพนม ในเขตอำเภอเมือง

นอกจากนี้ เรื่องเล่ากันในหมู่สมาชิกตระกูล "ณ นคร" บางกลุ่มในปัจจุบัน บอกว่าหลังจากที่พระเจ้าตากสินทรงผนวชที่วัดเขาขุนพนมระยะหนึ่งแล้ว ก็ได้ประชวรด้วยพระโรคอย่างหนึ่ง จึงจำเป็นต้องทรงลาผนวช แล้วเสด็จไปประทับอยู่ในจวนของเจ้าพระยานคร (น้อย) ในสมัยรัชกาลที่ ๓

มีการอ้างด้วยว่า เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จสวรรคตแล้ว ได้มีใบบอกเข้าไปแจ้งรัฐบาลในกรุงเทพฯ ว่า "ท่านข้างใน" สิ้นแล้ว ส่วนพระบรมศพนั้นก็ได้ไปตั้งทำการพระเมรุที่ชายทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัด นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ มีการอ้างถึง "หลักฐาน" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของเรื่องนี้อีกว่า ที่วัดแจ้งและวัดประดู่ซึ่งมีเก๋งไว้อัฐิของเจ้านคร (หนู) หม่อมทองเหนี่ยวชายา และของเจ้าพระยานคร (น้อย) นั้น มีศิลาจารึกภาษาจีนอยู่ ๓-๔ หลัก หนึ่งในนี้มีผู้อ้างว่า มีข้อความกล่าวถึงว่าเป็นหลุมศพของ "ผู้เป็นใหญ่แซ่เจิ้ง" เนื่องจากพระบิดาของสมเด็จพระเจ้าตากสิน "แซ่เจิ้ง"

สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงใช้ "แซ่เจิ้ง" ด้วย สำเนียงแต้จิ๋วเรียก "แต้" เรื่องนี้เป็นความจริงเพราะมีหลักฐานชั้นต้นยืนยันจำนวนมาก รวมทั้งพระราชสาส์นของพระเจ้าตากสินที่ทรงมีถึงพระเจ้ากรุงจีนก็ใช้ "แซ่เจิ้ง"

เอาเป็นว่าผมเล่าเรื่องที่ได้ยินมาตามสำนวนของผมก็แล้วกัน ผมจะจับความตอนที่พระยาจักรีได้เมืองแล้วพระยาพิชัยดาบหักที่ยกทัพตามลงมา ตั้งแต่ได้ข่าวว่ากรุงธนบุรีถูกทัพกบฎล้อมแต่ก็สายไปแล้วได้พบว่าพระเจ้าตาก ถูกพระยา จักรีสั่งประหารเรียบร้อยก่อนหน้าไปหลายวัน พระยาพิชัยดาบหักโกรธมากไสช้างเข้าเมืองมาร้องเรียกให้พระยาจักรีออกมาคุย กัน

พระยาจักรีตอนนั้นเป็นกษัตริย์แล้วได้ออกมากับน้องชายที่เป็น พระราชวังบวร ได้พบกับสหายเก่าร่วมรบพระยาพิชัยดาบหักร้องท้าทายว่าเอ็งอยากเป็นกษัตริย์ ถึงกับฆ่าท่านใหญ่เลยหรือวะ เอ็งมารบกับข้าดีกว่าข้าก็อยากเป็นด้วยเหมือนกัน พระยาจักรีร้องตอบไปว่าใครบอกว่าข้าฆ่าท่านใหญ่วะเอ็งลงมาจากช้างมาดูดีกว่า ว่าท่านใหญ่มีชีวิตหรือเปล่า

เมื่อพระเจ้าตากได้พบกับพระยาพิชัยที่เป็นทั้งสหายและลูกน้องเก่าก็พูดคุย เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พูดถึงความจำเป็นในการหลอกเมืองจีนเรื่องบ้าแล้วโดนประหารเพื่อล้างหนี้ มหาศาลในการกู้เงินมาทำนุบำรุงบ้านเมือง พิชัยอยู่กับพระยาจักรีในที่ลับก็พูดกันประสาเพื่อนร่วมรบแก่เก่าก่อนว่า ให้รับราชการร่วมกัน เล่นละครบทนี้ต่อ พระยาพิชัยก็ประกาศว่า ไม่ยอมเป็น ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย

ความจริงก็เพื่อนกันแต่พระยาพิชัยทำใจไม่ได้ พระยาจักรีก็สั่งฆ่าพระยาพิชัย แต่พระยาพิชัยไม่ตายเป็นละครอีกบทของพระยาพิชัย มีนักโทษประหารชีวิตตายแทนพระยาพิชัย ตัวจริงก็เปลี่ยนเป็นชื่ออื่นแล้วไปอยู่ที่อื่นใช้ชีวิตแบบสงบ

ตกคืนนั้นพระเจ้าตากก็นั่งคานหามออกไปจากวังในกลาดึกคืนนั้น นั่งเรือลงไปนครศรีธรรมราชกับลูกชาย เข้าจำพรรษาที่ลานสกานอกเมืองนครฯ ส่วนลูกชายก็ไปนั่งเมืองนครฯ เป็นเจ้าเมือง ท่านไม่ได้ไปเพียงท่านกับลูกชาย มีพระสนมที่ติดตามไปดูแลท่านอีกคนหนึ่ง และทหารเสือพระเจ้าตากเชื้อสายจีนร้อยแซ่ ตั้งแต่สมัยกู้บ้านเมืองจากพม่า ได้ติดตามท่านไปสมทบด้วยอีกประมาณ 500 คน เพื่อรักษาท่านเอาไว้ไม่ให้ใครตามมารบกวนท่านอีก

ทหารเสือพระเจ้าตากเหล่านี้ได้สร้างที่จำพรรษาให้ท่านบนยอดเขาขุนพนม ถาวรวัตถุที่หลงเหลือเห็นในตอนนี้ เป็นศิลปะจีนทั้งถ้วยชามจีนบนฝาผนังและลายพระพุทธบาทแบบจีนในวัด ทั้งมีการอ้างว่าพระยาน้อยเจ้าเมืองนคร คือลูกของท่านกับหม่อมปราง

อีกทั้งเจ้าชุมนุมนครฯเป็นเจ้าชุมนุมเดียวที่พระเจ้าตากไว้ชีวิต เมื่อครั้งรวบรวมประเทศเข้าตีชุมนุมนครฯ อีกทั้งยังถวายลูกสาวเจ้าเมืองนครฯ เข้าดองเป็นสนมภายหลังอีกด้วย

ลักษณะที่ตั้งของ "เขาขุนพนม" ที่อยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสมในการป้องกันภัยของพระองค์ ความผูกพันต่อเจ้าชุมนุมเมืองนครทีมีความเกี่ยวดอง ในลักษณะพ่อตากับลูกเขย

ในหลายเหตุผลที่ยกมาเป็นพยานหลักฐาน หรือเป็นสมมุติฐานที่เชื่อได้ หรือยังว่านครศรีธรรมราช และเขาขุนพนมก็คือสถานที่มีความเหมาะสม เป็นฐานที่มั่นในการหลบภัยทางด้านการเมือง ที่ไว้ใจได้มากที่สุดของพระเจ้าตากสิน ถือว่าเป็นหนึ่งในความเชื่อว่าพระเจ้าตากสิน สิ้นพระชนม์ที่เมืองนครฯ ของชาวนครเองที่เล่าขานมาหลายชั่วรุ่นคน
วันนี้ผมเล่าเรื่องพระเจ้าตากอย่างมีความสุขมาก อยากให้เรื่องจริงเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมอยากให้ท่านมีชีวิตรอดใช้ชีวิตในสมณะเพศที่เขาขุนพนม

อีกเรื่องเล่าหนึ่งจาก พงศาวดาร ฉบับนายหยง ครับ ขณะที่ปรีดา ศรีชลาลัย กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินฯ ไว้ในบทความเรื่อง"ปีสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนธันวาคม 2524 ว่า

"สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกปลงพระชนม์ ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้ง (คือวัดอรุณราชวราราม ปัจจุบันนี้) รวมวันตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวชจนถึงวันถูกปลงพระชนม์ เป็น 28 วัน

โหรจดไว้ว่าดับขันธ์ ไม่ใช้คำว่าสิ้นพระชนม์ หรือสวรรคต ก็เพื่อยืนยันว่า พระองค์ท่านถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศเป็นพระภิกษุ จึงใช้คำว่าดับขันธ์ เพื่อให้เข้าใจว่ามิได้สวรรคตเมื่อลาผนวชออกมา ความจริงพระองค์ดำรงสมณเพศจนตลอดพระชนม์ชีพ

เมื่อการปลงพระชนม์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง (เวลานั้นยังเรียกวัดบางยี่เรือ)"

บรรดาศพข้าราชการที่จงรักภักดีในพระองค์ มีเจ้าพระยานครราชสีมา (บุญคง ต้นสกุลกาญจนาคม) พระยาสรรค์ (บรรพบุรุษสกุลแพ่งสภา) พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ) พระยาพิชัยดาบหัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และพิชัยกุล) เป็นต้น จำนวนมากกว่า 50 นาย ก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น

ฝ่ายพระราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินที่ยังเหลือ ถ้าเป็นเจ้าชายชั้นทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด เอาไว้แต่ที่ทรงพระเยาว์ และเจ้าหญิง ถอดพระยศออกแล้วเรียกว่าหม่อม เหมือนกันทุกพระองค์ แม้จนกระทั่งสมเด็จพระราชินี และสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา

ฝ่ายเจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาธิบดีฝ่ายกลาโหม ขณะนั้นตั้งวังปราบบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระ ใกล้เมืองถลาง ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯถูกปลงพระชนม์แล้ว ก็ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น

ส่วนความเกี่ยวข้องกับญวนตามสัญญาลับ ไทยต้องช่วยญวนต่อรบกับพวกราชวงศ์เล้ (ที่เรียกพวกกบฎไตเซิน) 2 ครั้ง และช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกนับไม่ถ้วน ผลสุดท้ายเมื่อญวนกลับตั้งราชวงศ์องเชียงสือสำเร็จ มีอำนาจใหญ่โตขึ้น ไทยต้องเสียเมืองพุทไธมาศแก่ญวน

(ดูพงศาวดาร ฉบับนายหยง แปล เล่ม 2 หน้า 394, 419)
อีกเรื่องเล่าครับ ทรงวางพระทัยในเพื่อนผู้ใกล้ชิด จึงเป็นเช่นนี้แล... พระองค์ทรงวางพระทัยในผู้ใกล้ชิด มิได้ทรงระแวงเหตุร้ายที่ถูกวางแผนไว้นานกว่าขวบปี การภายใน ให้ นายบุนนาค, หลวงสุระ,หลวงชะนะ เป็นผู้ยุยงตัวสำคัญ ซึ่งแอบขึ้นไปตั้งทำการ ยุยงที่กรุงเก่า

การภายนอกให้ เขมร และ ญวน ตีโอบแม่ทัพใหญ่(คือขุนอิน) จับตัวขุนอินฯสำเร็จโทษเสียที่นอกเมือง ยกทัพหัวเมืองจากสามทางเข้าโอบตี ยึดเมืองหลวงไว้

สัญญาลับการกบฏที่มีต่อเขมร และญวนคือการส่งกำลังตอบแทนสองครั้ง และคำสัญญา ไม่กำหราบ เจ้าเขมร ให้ย่อยยับดังคำสั่งเหนือหัว พระองค์ทรงวางพระทัย เพราะสิ่งที่สั่งไว้ก่อนทรงผนวช ล้วนส่งคุณต่อลูกหลานเจ้าพระยาจักรี โดยไม่คาดคิดว่ามีผู้มักใหญ่ใฝ่สูง คิดยึดอำนาจไปเป็นของตัว โดยศักดิ์ พระเจ้าตากคือลูกเขย เจ้าฟ้าเหม็น เป็นหลานตา ในเจ้าพระยาจักรี กรุงธนบุรี พระเจ้าตากคิกการณ์ไว้ มอบให้แก่ ขุนอินฯ มิได้ตั้งใจมอบให้แก่เจ้าฟ้าเหม็น ดังตำนาน คืออีกหนึ่งรอยร้าวฉานเจ็บแค้น

สุดท้าย เจ้าฟ้าเหม็น ต้องสิ้นใจ ภายใต้การโค้นล้มของ หลานชาย เจ้าพระยาจักรี (ร.3) หลังพระพุทธยอดฟ่าฯ สิ้นพระชมน์ 6 วัน

สรุป เรื่องวิปลาศ ไม่จริง ออกบวชเพราะถูกขอร้อง บังคับ ไม่จริง ถูกก่อกบฏ ยึดอำนาจ จริง

มีการก่อความไม่สงบ ยุยงปลุกปั่น จากอยุธยา มีหัวเมืองใหญ่ ยกเข้ามายึดเมืองหลวงโดยมิได้มีพระบรมราชานุญาต ข้ารายการภายใน ฝักใฝ่ในตัวสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้าร่วม การยกทัพไปเขมร แล้วย้อนกลับ มีการวางแผนล่วงหน้า

การตีโอบทัพหลวง โดยทัพเขมร และญวนมีการส่งสัญญาลับต่างตอบแทนจริง ข้าราชการผู้มีสายเลือดนักรบ และซื้อสัตย์ ถูกกำจัดสิ้น ที่เหลือจึงอย่างที่ ประชาชนชาวไทยได้แลเห็น ล้วนสายเลือดดีดีทั้งนั้น...

เมื่อกลับกรุงเทพมหานครแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ
ทรงรำลึกถึงผลงาน และความจงรักภักดีของพระยายมราช (แบน) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเป็น "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร วิเศษสงคราม รามนรินทรบดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ" เป็นเจ้าพระยาคนแรกของสกุลอภัยวงศ์
ได้ปกครองบ้านเมืองเขมรให้ผาสุกสวัสดีมาได้ ๑๒ ปี

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระราชดำริว่าเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) มีความชอบใหญ่หลวง ครั้นจะเรียกตัวกลับก็ไม่ควร แต่ครั้นจะให้รับราชการอยู่เขมรต่อไป ก็น่ากลัวจะเกิดเรื่องวิวาทบาดหมางกับนังองค์เอง อยู่ไปก็อาจจะระแวงกัน

ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงทรงขอกันเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ มงคลบุรี และระสือ รวม ๕ เมือง ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไทย มาขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร และโปรดฯ ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) มีสิทธิปกครองโดยเด็ดขาดถึงขนาดเก็บภาษีได้เอง

ตระกูลอภัยวงศ์จึงได้ปกครองเขตแดนนั้นสืบมาหลายชั่วอายุคน จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ในยุคของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) เป็นคนสุดท้าย ลูกหลานเหลนอภัยวงศ์หลายคนก็เกิดที่นั้น

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) เจ้าเมืองพระตะบองและดินแดนใกล้เคียง ได้ปกครองบ้านเมืองอยู่ ๑๖ ปี จึงถึงแก่อสัญกรรมเมื่อพุทธศักราช ๒๓๕๓ นำมาได้เท่านี้นี้ครับ สงสัยโดนแบนซะก่อน
เขียนโดย Kunginter inter

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

"แล้วจึงให้เชิญเสด็จพระบรมศพพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์แห่แหนมา ณ โพธิ์สามต้น
ถวายพระเพลิง” นอกจากนี้ยังกล่าวถึงพระบรมวงศานุวงศ์ในพ่อเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
ไว้ตอนนึงว่า "จึงให้รับบุราณขัตติยวงศาซึ่งได้ความลำบากกับทั้งพระบรมวงศ์ลงมาทะนุ
บำรุงไว้ ณ เมืองธนบุรี" ซึ่งเหตุที่ต้องอพยพอย่างนี้ก็เพราะในขณะนั้น บริเวณแถบ
โพธิ์สามต้นและกรุงเก่ายังเป็นเขตอิทธิพลของชุมชนมอญ เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
ต่อพระราชวงศ์ รวมทั้งสภาพของเมืองนั้นก็ทรุดโทรมอย่างหนัก มีแต่ทรากปรักพัง
ยากแก่การซ่อมแซม จึงดำริว่าจะอพยพลงไปตั้งมั่นอยู่ที่ธนบุรี

ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมค่อนข้างเห็นชัดว่าพระเจ้าตากนั้นไม่ทรงลืมที่จะต้องภักดี
ต่อแผ่นดินอโยธยาและทรงพยายามที่จะรักษาสัตยวาจา รักษานโยบายการกู้คืนราชธานี
อยุธยาอย่างมั่นคงอย่างที่เคยประกาศไว้เมื่อครั้งเริ่มก่อตั้งชุมนุมพระยาตาก บุรุษอย่างนี้
สมแล้วที่จะทรงเป็นมหาราชของแผ่นดิน

ด้านนโยบายทางการปกครองของพระเจ้าตากนั้น จะทรงเน้นให้ผู้นำชุมชนหรือชุมนุมที่
ผ่านเส้นทางนั้นปกครองกันเองโดยไม่ทรงแต่งตั้งคนจากส่วนกลางไปปกครองถ้าไม่จำเป็น
วิธีนี้ค่อนข้างต่างจากสมัยอยุธยาที่มักจะส่งเชื่อพระวงศ์ให้ขึ้นไปปกครองหัวเมือง หรือ
ไม่ก็พยายามดองเขยดองสะใภ้ให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับเจ้าผู้ครองนครเดิม

อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่าพระเจ้าตากเองก็อยู่ในภาวะจำยอมเนื่องจากกรุงธนบุรีเองก็ไม่ได้มี
กำลังมากพอขนาดที่จะไปควบคุมหัวเมืองได้ในยามที่กระด้างกระเดื่อง จึงใช้นโยบาย
แบบที่ว่านี้เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างศูนย์กับหัวเมืองในปกครอง ซึ่งกลับเป็นผลดี
แก่กรุงธนบุรีเอง อย่างน้อยก็กว่า ๑๕ ปี

เป็นอย่างไรบ้างครับคงอ่านกันเหนื่อยแย่เลย เนื้อเรื่องเริ่มสนุกเข้มขนขึ้นแล้วสิครับ..
ต่อจากนี้เราจะมาดูเรื่องการขยายดินแดนของพระองค์ท่านนะครับ....
เราจะมาดูกันว่าหลังจากที่พระเจ้าตากได้ทรงกอบกู้บ้านเมืองจากอิทธิพลของ
พม่าได้สำเร็จแล้วนั้น พระองค์ทรงดำเนินการรวบรวมชาติให้เป็นปึกแผ่นกันอย่างไร

พระเจ้าตากซึ่งต่อไปนี้ผมจะขอเรียกท่านว่า “พระเจ้ากรุงธนบุรี” ทรงใช้เวลาอยู่ ๓ ปี
คือตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๑ จนถึง พ.ศ. ๒๓๑๓ ในการปราบชุมนุมต่าง ๆ เพื่อการรวมชาติ
ชุมนุมแรกที่ไปปราบ คือ ชุมนุมพิษณุโลก เหตุเพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงธนบุรีและ
สะดวกในการเตรียมไพร่พลเสบียงกรังและการเดินทัพ แต่ตีไม่สำเร็จ จึงได้เปลี่ยนแผนใหม่
โดยเริ่มตีตั้งแต่ชุมนุมเล็ก ๆ ไปหาใหญ่อย่างที่แอ๊ด คาราบาว แต่งเพลงไว้ ชุมนุมเจ้าพิมาย
เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช และชุมนุมเจ้าฝาง ตามลำดับ
ผมจะขอสรุปเหตุการณ์ในการเข้าตีชุมนุมต่าง ๆ โดยสั้น ๆ อย่างนี้

การเข้าปราบชุมนุมเจ้าพิษณุโลก

เกิดขึ้น ภายหลังศึกบางกุ้งใน พ.ศ. ๒๓๑๑ พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้ยกทัพไปปราบ
ชุมนุมเจ้าพิษณุโลก เจ้าพิษณุโลกได้ให้หลวงโกษา ฯ คุมทหารมาตั้งรับที่ตำบลเกยชัย
อยู่ในแขวงเมืองนครสวรรค์ แต่ปรากฏว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกปืนที่พระชงฆ์(เข่า)ทรงเจ็บ
จึงต้องยกทัพกลับ แต่กลับมีเรื่องประหลาดเกิขึ้นคือเจ้าพิษณุโลกเห็นพระเจ้ากรุงธนบุรี
สู้ไม่ได้ เลยคิดตั้งตัวเป็นใหญ่สถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ เป็นได้อยู่ ๗ วัน ดันเกิดฝี
ขึ้นที่ลำคอเสียชีวิตไป ชุมนุมพิษณุโลกก็ถึงคราวอ่อนแอลงจนในที่สุดต้องเสียเมืองให้แก่
เจ้าพระฝาง พวกราษฎรก็ได้หนีเข้ามายังกรุงธนบุรี กลายเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งกำลังผู้คน
และอาวุธที่ชาวพิษณุโลกได้นำติดตัวมาด้วย
การปราบชุมนุมเจ้าพิมาย

ในปีเดียวกันกับการเข้าตีเมืองพิษณุโลกคือ พ.ศ. ๒๓๑๑ พระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปตี
เมืองนคาราชสีมาเพื่อจะปราบเจ้าพิมาย โปรดให้พระมหามนตรีและพระราชวรินทร์
คุมกองทัพไปเปิดแนวรบที่ด่านกระโทก พระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จยกทัพหลวงรบข้าศึกที่
ด่านจอหอ(อันนี้คงคุ้นกันดีนะครับ) กองทัพทั้งสองได้ชัยชนะจนเด็ดขาด นับได้ว่า
เป็นครั้งแรกของการขยายอาณาเขตอาณาจักรธนบุรีขึ้นไปจนถึงนครราชสีมา

เจ้าพิมายพยายามหลบหนี แต่กรมการเมืองนครราชสีมาจับตัวไว้ได้และนำมาถวาย
พระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งในครั้งแรกนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงคิดว่าจะชุบเลี้ยงเอาไว้
แต่กรมหมื่นเทพพิพิธเจ้าชุมนุมพิมายแสดงความกระด้างกระเดื่องไม่อ่อนน้อม ก็เลยโดน
ประหารชีวิตไป หลังจากศึกพิมายแล้ว ทรงโปรดให้พระราชวรินทร์เลื่อนบรรดาศักดิ์
ขึ้นเป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ (พระพุทธยอดฟ้า ฯ) และพระมหามนตรีได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยา
อนุชิตราชา (พระอนุชา ของพระพุทธยอดฟ้า ฯ)

การปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช

๑ ปีถัดจากที่ได้ชัยชนะจากชุมนุมเจ้าพิมาย คือ ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ ได้ทรงโปรดให้แต่ง
เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพยกลงไปตีชุมนุมเจ้านคร ซึ่งพระปลัด (หนู) ผู้รั้งตำแหน่งเป็น
เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าที่เมืองนครศรีธรรมราช ปรากฏว่าทัพของ
พระยาจักรีมีความแตกแยกไม่ลงรอยกันเอง จึงทำการตีชุมนุมเจ้านคร ฯ ไม่สำเร็จ
ร้อนถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งทรงหายจากการบาดเจ็บที่พิษณุโลกแล้ว ต้องเสด็จยกกองทัพ
ลงไปเอง ทรงยกกองทัพเรือไปตีได้เมืองนครศรีธรรมราช ส่วนพระยานครฯ หนีไป
อยู่ที่รัฐปัตตานี พระยาตานีศรีสุลต่านได้จับตัวมาถวาย ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรง
ให้ชุบเลี้ยงไว้ แล้วแต่งตั้งพระหลานเธอเจ้านราสุริยสงศ์ลงไปครองเมืองนคร ฯ แทน
หลังจากที่พระหลานเธอ ฯ ได้ถึงแก่พิลาลัย เจ้าพระยานคร ฯ จึงได้เป็นเจ้าเมืองนคร
และทรงยกฐานะให้เป็นเจ้าประเทศราช

ฝ่ายพระยาจักรีหลังจากมีปัญหากับความปรองดองภายในกองทัพจนเป็นเหตุให้ต้อง
พ่ายต่อกองกำลังของเจ้านคร ฯ ในครั้งแรกนั้น ก็ได้รับพระบรมราชโองการให้นำทัพขึ้นไป
ตีเขมรเพื่อเป็นการไถ่โทษ

ปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง

ถัดจากการปราบชุมนุมนครศรีธรรมราช ๑ ปีเช่นกัน พระ เจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นว่า
เจ้าพระฝาง ซึ่งเดิมก็คือพระสังฆราชาในเมืองสวางคบุรี ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ทั้ง ๆ ที่
ยังครองผ้าเหลืองเป็นพระภิกษุอยู่นั้นมีอิทธิพลมากทางเหนือ จึงเสด็จยกทัพไปปราบเอง
โดยทรงเลื่อนพระยาอนุชิตราชา หรืออดีตนายบุญมา พระอนุชาของพระพุทธยอดฟ้า ฯ
เป็น ”พระยายมราช” ทำหน้าที่สมุหนายก รักษาพระนครด้วยความไว้วางพระทัย (จำตรงนี้
เอาไว้นะครับ) พระเจ้ากรุงธนบุรีตีหัวเมืองรายทางได้มาตลอดเส้นทาง และแวะตีเมือง
พิษณุโลกโจทก์เก่า ซึ่งขณะนั้นขึ้นเป็นบริวารของชุมนุมเจ้าพระฝาง ดับแค้นแผลปืน
ได้สำเร็จ แล้วเลยไปตีสวางคบุรี เจ้าพระฝางหนีไปหลบอยู่กับพม่าที่เชียงใหม่
พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้ประทับอยู่ที่นั่นเพื่อจัดระเบียบการปกครองเสียใหม่จนสิ้นฤดูฝน
รวบรวมผู้คนที่อพยพมาหลบภัยให้กลับไปอาศัยทำมาหากินในถิ่นเดิมของตัว ทรงตั้ง
ข้าราชการซึ่งมีความดีความชอบในราชการ โปรดให้เลื่อนพระยายมราชให้ เป็น
เจ้าพระยาสุรสีห์พิณุวาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก และทรงแต่งตั้งพระยา
อภัยรณฤทธิ์ ซึ่งต่อมาก็คือ พระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเป็นพระยายมราชแทน

เมื่อจัดการเมืองเหนือเรียบร้อยแล้วก็เสด็จกลับกรุงธนบุรี ซึ่งจากการรบในครั้งนี้ขอบ
ขัณฑสีมาของราชอาณาจักรธนบุรีทางทิศเหนือก็ได้ขยายไปจนจรดถึงเมืองเชียงใหม่
นอกจากการเข้าปราบชุมนุมต่าง ๆ แล้ว พระเจ้ากรุงธนบุรียังได้พยายามขยายอาณาเขต
ของสยามออกไปเพื่อที่จะให้ได้แผ่นดินกลับมาเทียบเท่ากับอาณาเขตในสมัยอยุธยา
ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ภายในเวลาเพียง ๑๐ ปี พระเจ้ากรุงธนบุรีและกองทัพ
ของพระองค์สามารถขยายอาณาเขตออกไปครอบคลุมได้อย่างนั้นจริง ๆ
เอาหละเรามาสรุปให้กระชับขึ้นอีกนิดหนึ่งนะครับ
พ.ศ. ๒๓๑๒ พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้ พระยาอภัยรณฤทธิ์ (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
ยกทัพไปตีเขมร, ให้พระยาโกษา ยกทัพไปตีปราจีน, พระยาอภัยรณฤทธิ์ประสบชัยชนะ
ตีเสียมราฐได้สำเร็จครับ ส่วน พระยาโกษาก็ตีเมืองพระตะบองได้เช่นเดียวกัน แต่ก็มี
เหตุให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ต้องยกทัพกลับเสียก่อนที่จะรุกคืบต่อไปในดินแดนเขมร
เพราะได้ข่าวว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี ยกทัพไปตีนครธรรมราช และสวรรคต ซึ่งกลายเป็น
ข่าวลวง



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หรือบทความชื่อ "ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของพระเจ้าตากสิน" ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของ ศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.2550) ตั้งข้อสังเกตว่า

"พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ "พระเจ้าตากสิน" เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟื อนจนถึงแก่ "สัญญาวิปลาส" จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรว มทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

...คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง "เป็นทางการ" ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ..."
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี 4 ฉบับ คือ 1.ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) 2.ฉบับบริติชมิวเซียม 3.ฉบับหมอบรัดเลย์ และ 4.ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

"พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชา ศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะ ยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ

ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราช หัตถ เลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ห ัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปล ายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพ ระมหากษัตริย์ลงอีก..."

เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

และในเดือนพฤษภาคม พศ2551 นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั ้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ "แฉ" แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ" ที่ว่า

"การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุง รัตนโกสินทร์ สำเร็จราบคาบในคราวเดียวหรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพีย ง 7 ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใดๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูร ณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีกเพื่อให้กรุงรัตนโ กสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร ้าว

13 ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ "พระราชพงศาวดาร" เป็นอาวุธ

โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแป รไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางก ารเมือง"

ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา "ความจริง" เกี่ยวกับ "เวลา" เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน "ศิลปวัฒนธรรม" เดือนพฤษภาคมนี้ แล้วท่านจะพบว่า
พงศาวดารพูดถึง "ยุคเข็ญ" ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หรือบทความชื่อ "ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของพระเจ้าตากสิน" ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของ ศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.2550) ตั้งข้อสังเกตว่า

"พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ "พระเจ้าตากสิน" เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟื อนจนถึงแก่ "สัญญาวิปลาส" จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรว มทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

...คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง "เป็นทางการ" ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ..."
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี 4 ฉบับ คือ 1.ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) 2.ฉบับบริติชมิวเซียม 3.ฉบับหมอบรัดเลย์ และ 4.ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

"พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชา ศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะ ยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ

ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราช หัตถ เลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ห ัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปล ายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพ ระมหากษัตริย์ลงอีก..."

เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

และในเดือนพฤษภาคม พศ2551 นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั ้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ "แฉ" แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ" ที่ว่า

"การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุง รัตนโกสินทร์ สำเร็จราบคาบในคราวเดียวหรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพีย ง 7 ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใดๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูร ณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีกเพื่อให้กรุงรัตนโ กสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร ้าว

13 ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ "พระราชพงศาวดาร" เป็นอาวุธ

โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแป รไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางก ารเมือง"

ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา "ความจริง" เกี่ยวกับ "เวลา" เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน "ศิลปวัฒนธรรม" เดือนพฤษภาคมนี้ แล้วท่านจะพบว่า
พงศาวดารพูดถึง "ยุคเข็ญ" ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หรือบทความชื่อ "ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของพระเจ้าตากสิน" ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของ ศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.2550) ตั้งข้อสังเกตว่า

"พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ "พระเจ้าตากสิน" เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟื อนจนถึงแก่ "สัญญาวิปลาส" จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรว มทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

...คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง "เป็นทางการ" ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ..."
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี 4 ฉบับ คือ 1.ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) 2.ฉบับบริติชมิวเซียม 3.ฉบับหมอบรัดเลย์ และ 4.ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

"พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชา ศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะ ยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ

ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราช หัตถ เลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ห ัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปล ายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพ ระมหากษัตริย์ลงอีก..."

เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

และในเดือนพฤษภาคม พศ2551 นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั ้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ "แฉ" แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ" ที่ว่า

"การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุง รัตนโกสินทร์ สำเร็จราบคาบในคราวเดียวหรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพีย ง 7 ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใดๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูร ณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีกเพื่อให้กรุงรัตนโ กสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร ้าว

13 ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ "พระราชพงศาวดาร" เป็นอาวุธ

โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแป รไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางก ารเมือง"

ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา "ความจริง" เกี่ยวกับ "เวลา" เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน "ศิลปวัฒนธรรม" เดือนพฤษภาคมนี้ แล้วท่านจะพบว่า
พงศาวดารพูดถึง "ยุคเข็ญ" ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ผมคิดว่าทั้งหมดที่ถูกพรรณาในนวนิยาย “ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข” นั้น ออกจะเกินจริงไป
เหตุเพราะพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นทรงถูกพระยาสรรค์ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจ และ
นำตัวพระองค์ไปคุมขังไว้ แต่การประหารพระองค์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากน้ำมือพระยาสรรค์
แต่กลับเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ
ได้เสวยราชสมบัติแล้ว ซึ่งผมไม่เชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนตัวนักโทษได้ง่าย ๆ เนื่องจาก
การกลับคืนสู่พระนครและการปราบกบฏพระยาสรรค์นั้น ไม่ได้ทำเพื่อถวายคืนพระยศ
และถวายพระราชอำนาจคืนแก่พระเจ้ากรุงธนบุรี แต่เป็นการทำเพื่อการเข้าสู่ราชบัลลังก์
ของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ ซึ่งแน่นอนว่าการคุมขังพระเจ้ากรุงธนบุรีในคุกหลวงนั้น
ย่อมต้องแข็งแรงรัดกุม และผมเชื่อแน่นอนว่า เรื่องที่เล่าสู่กันฟังว่าพระเจ้าตากทรง
เตี๊ยมกับเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก สร้างเรื่องเพื่อหลบปัญหาหนี้สิน ๖ หมื่นตำลึงกับจีน
จนนำไปสู่การสลับตัวนักโทษประหารและการหลบหนีของพระเจ้าตากนั้น ไม่น่าจะเป็น
ไปได้ เหตุเพราะหลังจากพระเจ้าตากได้สู่สวรรคตแล้ว ทั้งโอรสและธิดาของพระเจ้าตาก
๒๙ พระองค์ที่ทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด ที่ยังทรงพระเยาว์และเจ้าหญิง
ก็ถูกถอดพระยศออก แล้วเรียกว่าหม่อมเหมือนกันทุกพระองค์ (ในช่วงแรกมีคนเสนอให้
นำไปทำเรือล่มเพื่อให้หมดสิ้นวงศ์ด้วซ้ำ แต่พระพุทธยอดฟ้า ฯ ทรงห้ามไว้) แม้จนกระทั่ง
สมเด็จพระราชินีและสมเด็จพระน้านาง ก็ถูกถอดพระยศจนหมดสิ้น จะมียกเว้นก็แต่เพียง
“เจ้าฟ้าเหม็น”ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตากสิน ซึ่งเกิดจากเจ้าจอมฉิมใหญ่ ซึ่งเป็น
พระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทำให้เจ้าฟ้าเหม็นเป็นทั้งโอรสของ
พระเจ้าตากและเป็นพระนัดดาหรือหลานตาของ ร.๑ จึงรอดจากการถูกประหารในขณะนั้น
แต่เมื่อสิ้น ร.๑ ได้เพียง ๓ วัน "เจ้าฟ้าเหม็น" ก็ถูกปลงพระชนม์ในข้อหากบฏ เนื่องจาก
มีอีกาบินคาบข่าวการกบฏมาตกในท้องพระโรง ... ???

นอกจากนี้ ทหารเสือคู่พระทัยและข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าตากสินอีกร้อยกว่าชีวิต
ต่างก็ถูกโทษประหารด้วยเช่นกัน อย่างเช่น เจ้าพระยานครราชสีมา (ต้นสกุลกาญจนา),
พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ), พระยาพิชัยดาบ หัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และ
พิชัยกุล) เป็นต้น ต่างก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้นเอง

จากพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ผมเล่าให้ฟังนี้ ผมเชื่อว่ามีการล้างตระกูลเกิดขึ้นจริงและไม่น่าที่จะ
มีเรื่องของการยอมให้มีการเปลี่ยนตัวพระเจ้าตากออกมาจากคุก เพื่อหลบหนีไปบวชอยู่
ที่นครศรีธรรมราชตามที่มีผู้เล่าทิ้งความเชื่อเอาไว้ และผมยังเชื่ออีกว่าบรรดาเรื่องราว
ทั้งในนวนิยายของ ษี บ้านกุ่ม ก็ดี หรือเรื่อง “ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน” ของหลวงวิจิตร ฯ
ก็ดี รวมทั้งพงศาวดารไทยอีกหลายฉบับที่มีการชำระหลังจากรัชสมัยของ ร.๑ ก็ดีมีความ
พยายามที่จะทำให้เรื่องราวข้อเท็จจริงในอดีตนั้นดูเบาลง และเป็นภาพที่ดีขึ้นสำหรับการ
กำเนิดราชวงศ์ใหม่หลังจากสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรี

เป็นอย่างไรบ้างครับท่านผู้อ่าน.. คราวนี้เราจะมาดูข้อมูลจากแหล่งที่มาต่างๆครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ...ท่านผู้อ่าน ตอนนี้ผมขอพักเรื่องไว้นิดหนึ่งนะครับ คราวนี้เรามาดูจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
จากหนังสือต่างๆ ที่ได้เขียนไว้ครับ
บรรดาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาติ มีบางเหตุการณ์ที่ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ทำให้มีการตีความ และนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นใหม่อยู่เป ็นระยะ

ดังเช่นเหตุการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) พระปฐมบรมราชกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.2325

แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะผ่าน มา 226 ปี หากคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับแตกต่างกันไป มีการนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรี หลายต่อหลายครั้ง เมื่อมีเอกสาร หรือการตีความใหม่เกิดขึ้น

สำหรับนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาเป็น ระยะ เช่น บทความชื่อ "ชำแหละแผนยึดกรุงธนบุรี" ของ ปรามินทร์ เครือทอง ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงกรุงธนบุรีแตกไว้โดยละเอียด

ตั้งแต่ การเกิดรัฐประหารขึ้นในกัมพูชาซึ่งอยู่ในอำนาจของกรุ งธนบุรีในขณะนั้นซึ่งเป็นเวลา 1 ปี ก่อนกรุงธนบุรีแตก บรรยากาศทางการเมืองที่มีกลุ่มต่างๆ ก่อตัวขึ้น จนถึง 24 ชั่วโมงสุดท้ายของกรุงธนบุรี และ 24 ชั่วโมงแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนพระราชดำรัสสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ให้ชวนคิดว่า

"กูวิตกแต่ศัตรูมาแต่ประเทศเมืองไกล แต่เดี๋ยวนี้ไซ้ลูกหลานของกูเอง ว่ากูคิดเปนบ้าเปนบอแล้วดังนี้ จะให้พ่อบวชก็ดี ฤาจะใส่ตรวนพ่อก็ดี พ่อจะยอมรับทำตามใจลูกบังคับทั้งสิ้น" (ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายน พ.ศ.2550)


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ใครฆ่าพระเจ้าตาก ยอด กษัตริย์ ชาตินักรบ
จากเรื่องราวต่างๆ หลายแงมุมมอง....จากหนังสือต่างๆ แหลงข้อมูลต่างๆ.....ผมจะหยิบยกมาเสนอใน มุมมองต่างๆ
มาบอกเล่าสู่กันฟังนะครับ ถ้าข้อมูลบางส่วนผิดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ...ที่นี้ด้วยนะครับ ขอความกรุณาอ่านและวิจารณ์เฉพาะ
ในเชิงของประวัติศาสตร์นะครับ
ก่อนอื่นผมขอเล่าเรื่อง จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ ก่อนเล็กน้อยนะครับเพื่อให้ได้เนื้อหาที่สมบูรณ์ครับ
พระเจ้าตากสิน บุตรชาวจีน บิดาชื่อนายไหฮอง บรรดาศักดิ์ขุนพัฒน์ นายอากรบ่อนเบี้ย
กับคนลาวชิ่อนกเอี้ยง (page.20 : Chinese Society in Thailand . An Analytical History. By Skinner G.William. Ithaca New York.Cornell Universty Press 1957 :459 pages)ซึ่งในภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “สมเด็จกรมพระพิทักษ์-
เทพามาตย์“ พระเจ้าตากประสูติในวันอาทิตย์ ปีขาล (๑๗ เมษายน ๒๒๗๗) เล่ากันว่า
ตอนเกิดนั้นมีนิมิตรเกิดขึ้นเป็นฝนตกฟ้าผ่า พอท่านอายุครบ ๓ วัน มีดันงูเหลือมตัวใหญ่
เลื้อยอยู่รอบ ๆ เปล บิดาของท่านก็กลัวว่าจะเป็นลางร้าย จึงนำไปฝากให้เป็นบุตร
บุญธรรมของเจ้าพระยาจักรีในสมัยนั้น ต่อมาไม่นานนักเจ้าพระยาจักรีเกิดร่ำรวยมีแต่
โชคลาภมงคลเข้ามา ท่านจึงตั้งชื่อให้ลูกบุญธรรมคนนี้ว่า”สิน” ซึ่งแปลว่า “เงินทอง”

เมื่ออายุ ๕ ขวบ ได้เรียนกับพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส มีเพื่อนสนิทบวชเณรอยู่
ด้วยกัน ๒ คนคือ ทองด้วง และบุนนาค ซึ่งต่อมา ”ทองด้วง” ก็ขึ้นเสวยราชย์เป็น ร.๑
ในราชวงศ์จักรี ในขณะที่ “บุนนาค” เป็นมหาดเล็กหุ้มแพร นายฉลองไนยนาถ และ
ได้เป็น เจ้าพระยามหาเสนาบดี ต้นตระกูลบุนนาค หลังจากที่พระเจ้าตากสินได้สู่
สวรรคตแล้ว

คราวนี้ผมจะพาพวกเราลองย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่พระเจ้าตากจะถูกทำรัฐประหาร
เพื่อเตรียมปูพื้นไว้ก่อนว่า มีอะไรบ้างที่ดูเหมือนจะเป็นการบิดเบือน

เหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงปลายรัชสมัยของพระเจ้าตากนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
มีความสับสนในข้อมูล มีการบิดเบือนโดยใช้การบอกเล่าผ่านทางนวนิยายก็หลายหน
ซึ่งผมไม่ให้ความสำคัญกับข้อความในนวนิยายพวกนี้ ที่มักอ้างเอกสารทางประวัติศาสตร์
เพื่อโน้มน้าวผู้อ่านให้เชื่อถือ ตัวอย่างเช่น นวนิยายชื่อ “ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข” ของ
สุภา ศิริมานนท์ ใช้นามปากกาว่า ษี บ้านกุ่ม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ ที่อ้างถึงเอกสารสมุดข่อย
ที่ตกทอดในตระกูลสุนทรโรหิต และสืบทอดมาถึงหลวงสุภาเทพ (โต สุนทรโรหิต) บิดา
ของจินดา ศิริมานนท์ ซึ่งต่อมาก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เก็บรักษาสมุดข่อยที่ว่านี้ไว้

ในเรื่องของ “ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข” นี้ ได้สร้างความเชื่ออย่างนึงในกลุ่มผู้อ่านว่าพระเจ้าตาก
ไม่ได้สวรรคตจากการประหารชีวิตที่วัดอรุณ แต่ทรงได้รับความช่วยเหลือจากภิกษุ
๕ รูปและทรงประทับเรือพาย พร้อมด้วยฝีพาย ๔ คน ออกมาจากกรุงธนบุรี เพื่อไปประทับ
เรือใบของ "คุณพัด" หรือ เจ้าพระยาพัฒน์ ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพี่เขย
ของคุณเล็กและคุณฉิม พระชายาในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่ทอดสมอรออยู่ที่ตำบล
ปากลัด หรือ พระประแดง ในปัจจุบัน เพื่อทรงหลบหนีไปเมืองนครศรีธรรมราช และ
ได้บอกเล่าเอาไว้ว่า ภิกษุทั้ง ๕ นั้น ที่จริงแล้วก็คือพระสหายเก่าตั้งแต่ครั้งอุปสมบทที่
วัดโกษาวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๗ ในช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีชื่อว่า "สิงห์ขาม"หรือ
แกละดำ, "ปางทราย" หรือ แกละขาว, "สีเหล็ก" หรือ เอกจิโตภิกขุ, "หินขาบ" หรือ
แกละแดง และคนสุดท้ายคือ "หลวงอาสาศึก" หรือ บุญคง ซึ่งท่านสุดท้ายนี้ไม่ได้
เดินทางกลับมาด้วย เนื่องจากได้เสียสละปลอมตัวเป็นพระองค์อยู่ในที่คุมขัง และยอมถูก
สำเร็จโทษแทนสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Matichon Group : ศูนย์อบรมอาชีพและธุรกิจมติชน สำนักพิมพ์มติชน เส้นทางเศรษฐี เทคโนโลยีชาวบ้าน ศิลปวัฒนธรรม มติชนสุดสัปดาห์ ประชาชาติธุรกิจ ข่าวสด
| อ่านข่าวบนมือถือ |
หน้าแรก การเมือง บันเทิงและศิลปวัฒนธรรม" กีฬา ในประเทศ ต่างประเทศ เศรษฐกิจ ไลฟ์สไตล์ วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554
บันเทิงเทศ บันเทิงเอเชีย บันเทิงไทย ศิลปะวัฒนธรรม พิงค์สเกิร์ต เซาะเปีย กีฬาต่างประเทศ กีฬาในประเทศ การศึกษา คุณภาพสังคม ยุติธรรม-อาชญากรรม ภูมิภาค การเงิน-การคลัง ตลาดทุน พาณิชย์-เกษตร-การตลาด สื่อสารและคมนาคม อุตสาหกรรม-พลังงาน พร็อพเพอตี้ อาหาร-ท่องเที่ยว สุขภาพและความงาม รถยนต์ เทคโนโลยี

ลาว"สั่งแบน"เสก"-ทำลายวัฒนธรรม ปปส.ยินดีรับเป็นพรีเซ็นเตอร์วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:17:16 น.

Share3




ข่าวสด 26 ธันวาคม 2554




ผู้บริหารแกรมมี่แฉ"เสก โล โซ" เคยโดนสั่งยกเลิกคอนเสิร์ต ที่ประเทศลาวแกรมมี่แฉเอง รองเลขาฯ ป.ป.ส.เผยร็อก เกอร์หนุ่มยังไม่ติดต่อขอรับการบำบัดยา เสพติด ขีดเส้นให้มาแสดงตนถึง 29 ธ.ค.นี้ หากสมัครใจจริงจะให้เป็นพรีเซ็นเตอร์เชิญชวนคนหลงผิดเข้าคอร์สเลิกยาของป.ป.ส. ′เสก′ยังอารมณ์ดี โพสต์รูปตัวเองเก๊กท่าเสยผมขึ้นเฟซบุ๊กทักทายแฟนคลับ





จากกรณี ′เสก โลโซ′ หรือ นายเสกสรร ศุขพิมาย นักร้องเพลงร็อกชื่อดัง ตกเป็นข่าวครึกโครมหลังมีพฤติกรรมพัวพันกับยาเสพติด จนค่ายแกรมมี่ต้นสังกัดต้องฉีกสัญญาทิ้ง ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ทำหนังสือ เชิญตัวร็อกเกอร์ดังมาให้ข้อมูลโดยขีดเส้นให้เข้าพบภายในวันที่ 29 ธ.ค. มิเช่นนั้นจะให้ตำรวจออกหมายเรียกและหมายจับกุมตามลำดับ ขณะเดียวกันปัญหาครอบครัวระหว่าง ′กานต์′วิภากร ศุขพิมาย อดีตภรรยา ยังหาข้อยุติไม่ได้ ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น





ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. นายกริช ทอมมัส ผู้บริหารค่ายแกรมมี่ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีของนักร้องหนุ่ม ′เสก โลโซ′ ว่า ตอนนี้แกรมมี่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะสัญญาของเรากับเสกถูกยกเลิกไปแล้ว เป็นเรื่องที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการต่อไป ที่ผ่านมาเสกก็ยังไม่ได้ติดต่อเข้ามาเลย ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเสกได้รับการบำบัดยาเสพติดจะมีโอกาสร่วมงานกันอีกครั้งหรือไม่ นายกริชกล่าวว่า เป็นไปได้ เขาก็เป็นคนมีฝีมือ หาก 2 ปีได้รับการบำบัดจนหายดีแล้วเรายินดีร่วมงานกันได้ ยังให้โอกาสเสกเข้ามาพูดคุยกัน





เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเสกไปเปิดการแสดงที่นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แล้วถูกสั่งให้เลิกเล่นกลางเวทีเพราะมีอาการเมายาและสั่งห้ามเข้าประเทศจริงหรือไม่ นายกริชกล่าวว่าตนได้รับรายงานมาว่าเขาให้เลิกเล่นจริง งานนั้นเสกเป็นคนรับเอง ทีมงานบอกแต่เพียงว่าเขาไปสูบบุหรี่และถอดเสื้อบนเวทีขณะแสดง ทำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมของลาวต้องสั่งหยุดแสดง ส่วนอื่นๆตนไม่ทราบ แต่ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว น่าจะเป็นช่วงที่เขาป่วยใหม่ๆ





วันเดียวกัน นายณรงค์ รัตนานุกูล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เผยความคืบหน้าการเชิญ ′เสก โลโซ′ มาพบเจ้าหน้าที่ป.ป.ส.ว่า ยังไม่ได้ติดต่อว่าจะเข้าพบเจ้าหน้าที่ป.ป.ส.วันใด มีเพียงคนใกล้ชิดยืนยันว่าจะมาเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูตามหมายเรียกของป.ป.ส. โดยเป็นผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดตนเท่านั้น อยากให้เสกและคนใกล้ชิดไม่ต้องกังวลหรือกลัวว่าจะกลายเป็นผู้กระทำผิด ป.ป.ส.ถือว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากร เป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษา ส่วนระยะเวลาหรือโปรแกรมการบำบัดเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะเข้ามารับช่วงต่อ แต่ละคนใช้ระยะเวลาไม่เท่ากัน แล้วแต่ใครติดมากติดน้อย สำหรับสถานที่บำบัดอาจใช้สถาบันธัญญารักษ์





นายณรงค์กล่าวว่า หากเสกยินดีรับเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อเชิญชวนให้ผู้เสพสมัครใจเข้าโครงการสมัครใจบำบัดตามเป้าหมายของ ป.ป.ส.จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก เพราะเป็นบุคคลมีชื่อเสียง เป็นต้นแบบของเยาวชน ส่วนการสืบสวนขยายเครือข่ายยาเสพติดจากผู้เสพเป็นคนละส่วนกัน ยังไม่พูดถึงตอนนี้ ที่สำคัญการให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ แม้เจ้าหน้าที่จะไม่ได้ข้อมูลจากเสกแต่ก็สามารถทำงานสืบสวนได้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

"ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าหน้าที่จะคาดคั้นหาข้อมูลเรื่องเครือข่ายยา เพราะเป็นคนละส่วน เป้าหมายของป.ป.ส.ต้องการให้ผู้เสพซึ่ง เป็นผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้องถูกวิธี แต่หากใครอยากให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็ยินดี ผมเชื่อว่าตอนนี้เสกอาจขอเวลาคิดอะไรสักหน่อย ซึ่งเป็นสิทธิของ เสก เพราะมีระยะเวลาถึงวันที่ 29 ธ.ค. หากพร้อมจะมาวันไหนป.ป.ส.ก็พร้อม" นาย ณรงค์กล่าว



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการนำผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดนั้น รัฐบาลตั้งเป้าภายในปี 2555 จะนำผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดให้ได้ 400,000 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบังคับบำบัด กลุ่มสมัครบำบัดยังมียอดความสมัครใจค่อนข้างน้อย





วันเดียวกัน เวลา 12.00 น. นางวิภากร ศุขพิมาย หรือ ′กานต์′ อดีตภรรยา ′เสก โลโซ′ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า "Merry x mas รอแซนต้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเนี่ย แต่จะรออีกคืนนี้" ต่อมาช่วงเย็น ′เสก′ โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊กด้วยชุดเสื้อคอกลมสีดำ พร้อมเอามือเสยผมลักษณะเก๊กท่า และเขียนข้อความใต้ภาพว่า "ยืนแอ็คแล้วก็เก็กท่าท้างวัน^_^ ใครมีบริษัทดีๆ แล้วก็แค่รวมเสร็จก็จัดจำหน่าย พี่คิดว่าเวิร์คเรยสส์ละ"




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ทนาย อานนท์ ว่าความให้อากง แพ้หมดรูป แต่ยังว่าโง่ทันทียังไม่ได้ ต้องดูคำพิพากษา คดีอาญา ไม่มีหลักฐานแน่ชัดต้องยกประโยชน์ให้จำเลย ศาลไทยเน่าไปทั่วโลก เป็นครั้งแรกที่กระทรวงการต่างประเทศต้องออกหนังสือชี้แจง งามหน้าไหมละ///////////////// ที่ผมออกมาพูดนี่ผมมีเหตุผลซิครับ ผมมีเหตุผลที่กล้าพูดใด้เลย แต่ผมไม่ต้องการเอาออกมาพูดที่นี่ คุณต้องการทราพส่งเมลมาหาผมผ่าน นปช กลางแล้วผมจะอธิบายไห้คุณฟังครับ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หนังเรื่องทองปาน สะท้อนให้เราได้เห็นวิถีชีวิตที่หาดูยากแล้วในปัจจุบัน เท่าที่เห็นนักแสดงน่าจะมี ส.ศิวะรักษ์และหงา คาราวานร่วมด้วยไม่แน่ใจ เป็นภาพสะท้อนการตัดสินใจการบริหารการพัฒนาประเทศโดยระบบราชการ แม้จะมีการสัมนาร่วมแสดงความคิดเห็นจากหลายฝ่าย แต่ดูเหมือนจะเป็นเพียงรูปแบบเท่านั้นอำนาจการตัดสินใจที่แท้จริงก็คือจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง จากชนชั้นนำสู่รากหญ้า และเหตุผลความต้องการของสองฝ่ายคือระหว่างประชาชนกับรัฐบาลมักจะตรงข้ามกัน บทสรุปก็คือประชาชนต้องเชื่อฟังรัฐตามระเบียบ

นี่เด้อคุณยอดนี่กะเบิ่งแล่วออนซอนหลายจ้า http://www.youtube.com/watch?v=584G0SvW6lc ของแซ่บ
ลาว : อักษรลาวV.1

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ของแซ่บอีสาน : อักษรอีสาน (ไทยน้อย) V.1

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=Sl8Vc1xpzcA

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

+2012ny 



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

+3xmasLao hak lao xang phouak phaletkhane komminist lao deang



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

+เต้น we will ..we will ..rock you..Ai com Jone 500



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

 +2snow



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

อดีตอธิการบดี ม.อีสาน ดิ้นขอคืนมหาวิทยาลัย

600.jpg

อดีตอธิการบดี ม.ลาวขอคืนมหาวิทยาลัย จวกคณะกรรมการควบคุม งดรับนักศึกษาในทุกระดับชั้น 2 ปี แต่ขอเงินเพิ่มทุน 150 ล้านบาท...

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 25 ธ.ค.2554 ที่ห้องประชุมโซเรนโต้ โรงแรมโรมาโฮเต็ล ในเมืองขอนแก่น ดร.อัษฎางค์ แสวงการ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยลาวและนายปรีดา บุญเพลิง ประธานนักศึกษามหาวิทยาลัยลาว ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ถึงความคืบหน้าการขอคืนมหาวิทยาลัยลาว หลังจากกระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุม เข้าไปดำเนินกิจการมหาวิทยาลัยลาว จากปัญหาการทุจริตวุฒิ ป.บัณฑิต

โดยนายปรีดา บุญเพลิง ประธานนักศึกษามหาวิทยาลัยลาว กล่าวว่า อยากขอความเป็นธรรมให้กับนักศึกษา และมหาวิทยาลัยลาว เพราะหลังจากอนุสนธิจากการเข้าควบคุมมหาวิทยาลัยลาวของคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยลาว เพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหามหาวิทยาลัยลาวใน 3 ด้าน คือ ด้านทะเบียนนักศึกษา ด้านการเงิน ด้านการจัดการศึกษา แต่ขณะนี้ทราบว่า การแก้ไขปัญหาด้านทั้งหมดได้ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว และจากการติดตามข่าวสารตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน ทราบว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมสรุปมติใน 2 ประเด็น คือ 1. ยุบมหาวิทยาลัยลาว 2. ให้คณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยลาวต่อไป อีก 2 ปี โดยมีเงื่อนไขให้ผู้รับใบอนุญาต เพิ่มเงินทุนดำเนินการมหาวิทยาลัยลาว อีก 150 ล้านบาท ถ้าไม่ให้จะยุบมหาวิทยาลัยลาว

 


นายปรีดา บุญเพลิง กล่าวต่ออีกว่า จากมติดังกล่าว จะเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรมกับนักศึกษาและมหาวิทยาลัยอีสาน ทำให้เกิดความเสียหายต่อนักศึกษา ทั้งด้านโอกาส ความก้าวหน้าด้านการงานอาชีพ เกียรติยศ ชื่อเสียง เกิดความล้มเหลว สร้างความเดือดร้อน การแก้ไขปัญหาให้แก่นักศึกษา ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยที่กำหนดไว้ และมีการสร้างเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม คือ คณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยลาวไม่มีเอกภาพ แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คณะผู้บริหารไม่มีเอกภาพ แล้วยังสร้างความมั่นใจให้นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยลาวต่อผู้จัดการห้องเรียนและผู้รับใบอนุญาตจัดตั้ง ซึ่งในปัจจุบัน นักศึกษาที่มาติดต่อกับมหาวิทยาลัยอีสาน จะไม่ได้รับความชัดเจน เจ้าหน้าที่พูดจาในทางลบต่อมหาวิทยาลัยลาว ชี้ให้เห็นว่า คณะกรรมการควบคุมสร้างปัญหาให้มากขึ้นกว่าเดิม และมีอคติกับนักศึกษา และผู้รับใบอนุญาตมหาวิทยาลัยลาว คณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยลาว มีอคติ หาว่าที่ปรึกษาของ มอส.จำนวน 30 คน ไม่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ทั้งๆที่ข้อเท็จจริง อาจารย์ที่ปรึกษาล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณวุฒิตามเกณฑ์ และเคยให้คำปรึกษาของสถาบันการศึกษาของรัฐก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น คุณภาพของนักศึกษาสามารถประกันได้ว่า มีคุณภาพมาตรฐาน จากการกรณีสอบบรรจุแข่งขันครูผู้ช่วย และผู้บริหารสถานศึกษาในอันดับต้นของบัญชีอันดับมากมาย

“คณะนักศึกษามีมติเอกฉันท์ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้นที่มีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะให้ความเป็นธรรมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยลาวได้ คณะนักศึกษาจึงขอความเป็นธรรมมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โปรดพิจารณาเยียวยานักศึกษา และคืนการบริหารมหาวิทยาลัยลาว กับผู้รับใบอนุญาต ตามมาตรา 90 พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 ให้แก้ไขปัญหาที่ยังไม่เรียบร้อย เป็นขวัญกำลังใจ เกียรติ และศักดิ์ศรีของนักศึกษามหาวิทยาลัยลาวทั้งหมด” นายปรีดา กล่าว

ทางด้านนายอัษฎางค์ แสวงการ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน กล่าวว่า การดำเนินการของคณะกรรมการควบคุม ย่างเข้าสู่เดือนที่ 8 แล้ว การประชุมหรือการทำงานก็ย่ำอยู่กับที่ กับปัญหาเดิมๆ ไม่มีความคืบหน้า มีการนำเสนอข้อสรุปของการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่ตัดประเด็นในเรื่องของการยื่นอุทธรณ์ ในเรื่องที่เกิดขึ้นของคณะผู้บริหารชุดเดิม โดยที่คณะกรรมการไม่ได้มีการรับเรื่องของการยื่นขออุทธรณ์ ของทางอดีตคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยอีสานแต่อย่างใด ทั้งที่กฎของกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานการอุดมศึกษา ระบุชัดเจนว่า สามารถยื่นขออุทธรณ์ในเรื่องดังกล่าวได้ภายใน 30 วัน ซึ่งที่ผ่านมา มีการยื่นเรื่องไป 2 ครั้ง และทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง ก็ถูกบ่ายเบี่ยง ทางอดีตคณะผู้บริหารจึงเตรียมที่จะเสนอขอยื่นอุทธรณ์เป็นครั้งที่ 3 เพื่อให้ทางกระทรวงได้รับพิจารณาในเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับการขอคืนมหาวิทยาลัย เพื่อกลับเข้าสู่กระบวนการบริหารจัดการตามปกติ เพราะคณะกรรมการที่กระทรวงศึกษาธิการแต่งตั้งมาควบคุมนั้น ที่ผ่านมา ไม่มีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ประกอบกับมีการใช้อำนาจที่เกินหน้าที่ โดยมีคำสั่งงดรับนักศึกษาในปี 2554-2555

นายอัษฎางค์ กล่าวอีกว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสาน ที่มีการเสนอเรื่องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีเพียง 2 ประเด็น คือ 1. ยกเลิกหรือเพิกถอนใบอนุญาต 2. ให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวควบคุมการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยต่อไป แต่มีข้อแม้ว่า ผู้รับใบอนุญาตฯจะต้องสนับสนุนงบประมาณอีก 150 ล้านบาท สำหรับการดำเนินงาน 2 ปี โดยงดรับนักศึกษาในทุกระดับและทุกรายวิชาโดยเด็ดขาด ซึ่งเรื่องดังกล่าวขัดต่อระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ ในการยื่นอุทธรณ์หรือการให้อดีตคณะผู้บริหารได้เข้าชี้แจงในเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น อีกทั้งการดำเนินงานของคณะกรรมการควบคุมไม่มีประสิทธิภาพ และขัดแย้งกันเองของอธิการบดีและคณะผู้บริหาร จนทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างล่าช้า และมีการก้าวล่วงเข้ามาควบคุมการบริหารงานในด้านต่างๆ จนทำให้เกิดความเสียหายต่อนักศึกษาอย่างมาก

“การของบประมาณสนับสนุนจากผู้รับใบอนุญาตอีก 150 ล้าน ในสัญญาการเข้ามาควบคุมการดำเนินงานต่อมหาวิทยาลัยต่อไปอีก 2 ปี โดยไม่มีการรับนักศึกษา หากไม่เป็นไปตามมติก็จะสั่งปิด ถือเป็นการขู่กรรโชกจากกลุ่มคณะกรรมการฯ จึงเป็นเรื่องที่รัฐมนตรีควรรับทราบ และให้ความเป็นธรรมในเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น มีผลกระทบโดยตรง ต่อนักศึกษาและคณาจารย์ รวมไปถึงบุคลากรทางการศึกษาของมหาวิทยาลัยอีสาน ที่คณะกรรมการควบคุม มีการออกมาระบุว่า เป็นบุคคลที่ไร้มาตรฐานและไม่มีคุณภาพ ซึ่งก็เท่ากับว่า ศาสตราจารย์, รองศาสตราจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ที่มาเป็นครูผู้สอนและคณะผู้บริหารนั้น ไม่ได้มาตรฐานตามที่คณะกรรมการระบุจริง เพราะคณะผู้บริหารบางคนก็สำเร็จการศึกษา มาพร้อมกับคณะกรรมการควบคุมบางคน เช่นกัน” นายอัษฎางค์ กล่าว

 

โดย: ทีมข่าวภูมิภาค

25 ธันวาคม 2554, 17:35 น.



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Chao Anou the great king of Lanxang-kingdom

http://www.youtube.com/watch?v=gBFpO84HZDY&feature=share

Lum Chao Anou Koo Xart.wmv

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຂ່າວສົດສົດ ຮ້ອນຮ້ອນ
ໂກໂຣແນນ ແສງແກ້ວ ຢູ ກົມໃຫຍ່ກອງພັນ 645 ເຂດພາກໄຕ້ ຖືກຢາເບື່ອຍ ວານນີ້ ຫລັງຈາກ ໄປອົມລົມການເມືອງສາມວັນທີ່ວຽດນາມກັບມາ ນໍ້າລາຍແຕກປາກ ແລະໄດ້ຖຶກເສັຍຊິວິດ. ທ່ານນີ້ ຕ້ານວຽດນາມຕັດໄມ້ໃນດິນລາວ ຂໍສແດງຄວາມເສົ້າສລົດໃຈນໍາເພີ່ນແລະຄອບຄົວ ທົ່ວກອງພັນທະຫານລາວທີ່ຮັກຊາດລາວ. ລາວ ຈະໃຫ້ວຽດນາມຂ້າຊາວລາວຕາຍເທືອ່ລະນ້ອຍຕໍ່ໄປອີກບໍ່ ຫລື ພວກລາວເຮົາຈະ ຕີປັດເຂັ່ຍຄອມມຸຍນິດວຽດທີ່ມັນເຂົ້າມາແຊກແຊງຊາດລາວ ອອກຫນີຈາກດິນລາວ ເພື່ອຢຸດຕິ ວຽດນາມຂ້າຊາວລາວ
ສຈັນທະວິໄຊ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


http://www.youtube.com/all_comments?v=hA4VB7rX7hs

ອິວຽງທອງ4000ດອນ ຮຽນຫຍັງກະບໍໄດ້ ພຽງແຕ່ເປັນລູກສາວນັກຄາຕກອນໂລກ
ບັກແກວຫັວຂອດ ຄຳໄຕບັກມື ມີເລຶອດຂ້າລາວຝ່າຍ ວຈ ກ່ວາ2ແສນຄົນ ໄລ່ອອກນອກ ປທ 5ແສນສົ່ງໄປຕາຍສູນສັມພະທຸກ5ມື່ນ ອີ່ຫິຄຽວອິ້ໂຄດແມ່ມືງ ໂຄດພໍ່ມືງຂ້າຣາຊວົງກູ ຖືກລາກມາເປັນ ຣມຕຄັງຊ່ວຍ ຢ່າຍອມໄປບໍລິການທະນະຄານນນິ້ເດັດ­ຂາດ  ພໍ່ມັນມີສັນດານອັນຕາພານໂຈນ ປົ້ນແລ້ວຂ້າຢ່າງໃດປິ1945 ຂະໂມຍໄປສນີເມືອງປາກເຊ2ແສນkipປິນິ້ປ­ິ ...2011 ອິ້ຫ່ານິ້ກະຊີມີສັນດານຊັ່ວໆຄືໂຄ­ດພໍ່ມັນບັກຫ້ນາແຫລ້ສົບເວິ ປູ້ນ ທະນາຄານນິເຊັ່ນກັນ
ທີ່ວິທຍຸແຫ່ງດຽວໃນໂລກ ທີ່ ມີການດ່າຕະກຸນໂຈນນີ້ຢ່າງຮຸນແຮງທ­ີ່ສຸດຈາກເມືອງໂຂງ

www.siengserixonla­o.com
















__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2011/12/01/the-red-prince/

2009 was the 100th anniversary of the birth of the famous “Red Prince” Souphanuvong, president of the Lao PDR until 1986, and Advisor of Communist Party’s Central Committee Party until his passing in 1995. Such centenaries are auspicious times in Lao culture, and consequently there have appeared several biographies of the “beloved leader”.

Featured here are: เรียนรู้ประวัติศาสตร์ลาวผ่านชีวิตเจ้าสุพานุวง โดย ศุขปรีดา พนมยงค์ (Understanding Lao History through the Life of Prince Souphanuvong by Sukprīdā Phanomyong), and ປະທານສຸພານຸວົງ : ຊີວິດ ແລະ ການເຄື່ອນໄຫວ ປະຕິວັດ (President Souphanuvong: Life and Revolutionary Movement, produced by Research Institute of Social Science), being further contributions to the ongoing elaboration of Lao political iconography. These are unreservedly positive accounts of the Prince’s life and achievements, compiled by authors from either side of the Mekong. Both are illustrated with black and white photographs covering events from childhood until his passing.

Interestingly, we seem to be enjoying something of an awakening of interest in Lao history, with the NLA receiving some 10 titles of histories published in Laos in the last two years. The broader context seems to be the 450th anniversary of Viengchan in 2010, which was officially celebrated by the Lao government.

Readers can find a list of selected titles here.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เสรีภาพคืออะไร!!!
เสรีภาพ คือ การที่บุคคลจะพูด จะทำ จะเขียนอย่างไรก็ได้ ถ้าในขณะที่พูด ที่ทำ ที่เขียนนั้น ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ย่อมไม่มีเสรีภาพ เมื่อบุคคลไม่มีเสรีภาพจะเรียกว่าการปกครองนั้นเป็นการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยไม่ได้
ประการที่สาม รัฐบาลของประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชนตามที่ท่านประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอน ได้กล่าวที่เมืองเกตตีสเบิร์ก (Gettysburg) ในสมัยสงครามกลางเมืองของอเมริกา
รัฐบาลที่จะเป็นรัฐบาลของประชาชน โดย ประชาชนก็ต้องเป็นรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา รัฐบาลที่ประชาชนไม่ได้เลือกตั้งเข้ามา แต่มาจากขุนศึกก็ดี ศักดินาก็ดี อำมาตย์ก็ดี ย่อมไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน ไม่ใช่รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
ประการที่สี่ คนในระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยต้องมีความเสมอภาค ข้อความนี้ปรากฎอยู่ที่หน้าศาลสูงสุดของประเทศอเมริกา Equal justice under law ฉะนั้น ตราบใดที่ประชาชนยังไม่ได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน ยังมีสองมาตรฐาน ตราบนั้นก็ยังเรียกว่าประเทศปกครองในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้

ประเทศจะปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับประชาชน
หากประชาชนต้องการแล้วก็ไม่มีใครขัดขวางได้!
เพราะเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 



ค้ามนุษย์ จนท.หาประโยชน์!!!


--------------------------------------------------------------------------------
เผยสถานการณ์ค้ามนุษย์ในประเทศไทย การบังคับใช้กฎหมายล้มเหลว เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนแสวงหาผลประโยชน์ ปัญหาหนักที่สุดคือ ลักลอบขนแรงงานเถื่อนเข้ามาบังคับทำงานบนเรือประมงเยี่ยงทาส แต่จับต้นตอไม่ได้ แฉอุดรธานีเป็นแหล่งใหญ่ค้ากามเด็กสาวชาวลาว สำรวจพบซ่องผุดโจ๋งครึ่มรอบศาลากลางจังหวัด
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน มีการจัดเสวนาสถานการณ์การค้ามนุษย์ประเทศไทย 2554 จัดโดยเครือข่ายปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยนายสมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติ กล่าวในเวทีเสวนาครั้งนี้ว่า เมื่อปลายปี 2553 กระทรวงแรงงานประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดอันดับปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศ ไทยอยู่ในระดับที่ 2 คือเป็นประเทศที่มีการค้ามนุษย์ ไม่มีความพยายามแก้ไขอย่างจริงจัง และอยู่ในกลุ่มต้องจับตามองเป็นพิเศษ แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ตั้งแต่ปี 2551 แต่การบังคับใช้กฎหมายยังคงล้มเหลว และมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการแสวงหาผลประโยชน์ตั้งแต่ ต้นทางถึงปลายทาง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การค้ามนุษย์ในประเทศไทยยังคงเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะการบังคับแรงงานทาสในเรือประมง เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและน่าเป็นห่วงมากที่สุด
นายสมพงษ์กล่าวว่า ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีกฎหมายเฉพาะนี้ขึ้นมา ก็ไม่สามารถจับกุมต้นตอกระบวนการค้ามนุษย์ได้เลย หลายคดีเป็นไปอย่างยืดเยื้อยาวนาน หรือไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ทั้งๆ ที่มีผู้เสียหายหรือเหยื่อเป็นหลักฐานชัดเจน ขณะนี้ยังมีการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ลาว และกัมพูชาเข้ามาทำงานตลอดเวลา ตัวเลขแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนกระทรวงแรงงานมีจำนวน 1.2 แสนคน แต่จริงๆ แล้วน่าจะมีถึง 5 แสนคน เนื่องจากพบการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในจังหวัดสมุทรสาครคือ จำนวนหอพักและร้านค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงว่ามีการลักลอบขนแรงงานเถื่อนจากชายแดนเข้ามาโดยเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วน ร่วมด้วย
"การบังคับใช้แรงงานบนเรือประมงถือว่าเข้าข่ายการค้ามนุษย์ เพราะมีการกดขี่แรงงานเยี่ยงทาส ซึ่งการเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐมีน้อย ทั้งแรงงานต่างด้าวและคนไทยก็ถูกล่อลวงจากนายหน้าให้ไปทำงานบนเรือโดยไม่ได้ รับค่าจ้าง และถูกทำร้ายทุบตี ขณะที่นายหน้าก็ไม่เคยถูกจับกุมแม้แต่รายเดียว" ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติเผย
น.ส.ชลีรัตน์ แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการมูลนิธิพิทักษ์สตรี ซึ่งเป็นผู้นำส่งสาวเวียดนามรับจ้างอุ้มบุญผิดกฎหมายกลับประเทศ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลการค้ามนุษย์โดยบังคับหญิงสาวชาวลาวขายบริการทาง เพศในประเทศไทยพบว่า จังหวัดอุดรธานีเป็นแหล่งที่มีการค้าประเวณีหญิงสาววัยรุ่นชาวลาวมากที่สุด โดยปล่อยให้มีการเปิดซ่องค้ากามกันอย่างโจ๋งครึ่มเป็นจำนวนมาก ไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยเฉพาะศาลากลางจังหวัดล้อมรอบไปด้วยซ่องที่เปิดเป็นร้านคาราโอเกะบังหน้า หญิงสาวลาวที่ขายบริการทางเพศส่วนใหญ่อายุน้อยตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป มีทั้งถูกนายหน้าล่อลวงตั้งแต่ประเทศลาวลักลอบเข้ามาหลบซ่อนอยู่ในซ่อง มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ย่ำแย่และถูกบังคับหมุนเวียนไปยังต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย
"สาวชาวลาวส่วนหนึ่งสมัครใจค้าประเวณีเนื่องจากเห็นว่ามีรายได้ดี เป็นกลุ่มที่อยู่ประจำซ่องเป็นเวลานาน เพราะทำเอกสารเข้าประเทศไทยถูกกฎหมาย บางคนมีปัญหาครอบครัวแตกแยกก็ตั้งใจจะหาแฟนเป็นคนไทยโดยสมัครใจขายตัวแบบ อิสระหรือสาวไซด์ไลน์ ซึ่งมีรายได้ 1-2 พันบาทต่อครั้ง ลูกค้ามีตั้งแต่นักการเมือง ข้าราชการ และพนักงานบริษัทเอกชนที่มาดูงานในจังหวัดอุดรธานี" นางชลีรัตน์เผย
นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา กล่าวเสริมว่า จังหวัดอุดรธานีถือเป็นตลาดใหญ่ของโสเภณีชาวลาว ส่วนมากเป็นเด็กวัยรุ่นที่เข้ามากับนายหน้าและส่งไปยังซ่องต่างๆ ที่ผุดขึ้นมากเหมือนดอกเห็ด โดยไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปปราบปรามแต่อย่างใดทั้งๆ ที่ผิดกฎหมายค้ามนุษย์อย่างชัดเจน จากการตรวจสอบในเว็บไซต์พบว่า มีการจัดทำแผนที่ซ่องที่มีสาวลาว มีการจองตั๋วเครื่องบินราคาถูกไปกลับเพื่อซื้อประเวณีโดยเฉพาะ ซ่องเหล่านี้อยู่ไม่ไกลจากศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ถ้าวันไหนมีหน่วยงานรัฐและเอกชนมาจัดประชุมหรือสัมมนาที่จังหวัดนี้ ก็จะทำให้ลูกค้าอุดหนุนเด็กลาวเป็นจำนวนมาก
"ผมรับประกันได้เลยว่าผู้ชายที่ไปเที่ยวจังหวัด อุดรธานีแล้วผ่านสถานีขนส่ง ก็จะมีคนชักชวนไปซื้อบริการทางเพศสาวลาวแน่นอน" นายเอกลักษณ์เผย.



__._,_.___

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.kplnet.net/english/news/edn9.htm

Anourak Phiphaksa Vehicular registration process bettered

By Vinnaly

(KPL) Head of Driving and Vehicle Management Unit of Vientiane Public Works and Transport Division Mr. Nounsay Phasaisombat said the process of registering vehicles was significantly improved due to the use of modern technology.

Mr. Nounsay said that so far this year his Unit had registered over 50,800 vehicles including over 31,200 motorcycles.

?This year 2011, the number of people coming to register their vehicles is up by 5-6% as compared to last year,? said Mr. Nounsay.

?Pre-availability of modern technology, the registration and licensing process was very slow and took several months. The process cost a lot of time for vehicle users and complaining about our service by the general public was very common to us,? said Mr. Nounsay. ?But now we rarely get complaining phone calls and letters from the people.?

Since 2000, around 500,000 vehicles have been registered in Vientiane. This includes 50,000 registered in the last twelve months. And the number of registered vehicles has increased from 11,000 in 2000 to 50,000 this year meanwhile the number of driving licences has increased from over 97,000 in 2000 to over 238,300 this year.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ขอบคุณ ดีเจจุ๋ม Mr.Bigbuff แห่ง http://konthais.org/


เมื่อ 18 ธันวาคม 2554, 19:43, nut sakuldee เขียนว่า:

คลิปรายการ "นายแน่มาก" ตัดเสียงลำโพงหวีดที่หัวคลิปและหางคลิปยาว ๆ ออกแล้วค่ะ

http://www.mediafire.com/?2ru1ocy6tb7r1v3
http://www.4shared.com/audio/Xd5tsis1/54-12-18__by_MrBigbuff.html


Bigbuff http://www.mediafire.com/?o4tc25j31p49h4y
Electron Spin http://www.4shared.com/audio/xkfXlCPZ/ktw_2011-12-18.html


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຣາຊສວົງ ຄມນ ໂຈນລາວແດງ ແບບບ້າບໍ ຂອງບັກບຸນຍັງ ວໍຣະຈິດ ຮອງ ປທປທ ຄົນປັດຈຸບັນຖືກ ນຳມາເປິດເຜິຍຢ່າງຈະແຈ້ງທີ່ສຸດໃນ ວີທຍຸແຫ່ງດຽວຂອອງໂລກ

www.siengserixonlao.com

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

REDUDD วันอาทิตย์ที่ 18-12-54 รายการพิเศษคุณอาคม ซิดนีย์ และ Dr.piangdin

http://www.mediafire...t4pf993297ui776
http://www.2shared.c...-12-54___2.html
http://www.4shared.c...-12-54___2.html

ขอบคุณ butterfly freedom


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


บุกทลายโอเกะกาม "โก-ลก" 36สาวลาวพ้นนรก
--------------------------------------------------------------------------------




แฉเปิดขายบริการโจ๋งครึ่ม ญาติร้องเรียน-ดีเอสไอลุย ผงะเจอเด็กต่ำกว่า18ปีด้วย

ดีเอสไอบุกทลายคาราโอเกะค้ากาม กลางเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาสช่วยเหยื่อสาวชาวลาว 36 คน ถูกบังคับค้า ประเวณีโจ๋งครึ่ม เผยได้รับร้องเรียนจากพ่อแม่เหยื่อสาวรายหนึ่ง ผ่านมูลนิธิพิทักษ์สตรี ว่าลูก สาวถูกล่อลวงบังคับค้าประเวณี เลยนำกำลังเข้าจับกุม ผงะเปิดคาราโอเกะบังหน้าให้เหยื่อขายตัว ถึง 2 ร้าน ในจำนวนนี้มีเด็กสาวอายุไม่ถึง 18 รวมอยู่ด้วย 3 คน รวบเจ้าของร้านดำเนินคดีทันที แฉในเมืองนราฯ มีร้านโอเกะค้ากามอีกเพียบ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 ธ.ค. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สั่งการให้ พ.ต.ท.ไพสิทธิ์ สังคพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษ 9 ศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ร่วมสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ภาค 4 นำหมาย ศาล จ.นราธิวาส เข้าตรวจค้นร้านอินเตอร์คาราโอเกะ ตั้งอยู่เลขที่ 16 และเลขที่ 21 ถ.ประชาวิวัฒน์ ซอย 3 เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก หลังจากได้รับการร้องเรียนจากพ่อและแม่ของเด็กหญิงชาวลาวรายหนึ่ง ผ่านมูลนิธิพิทักษ์สตรี ว่าลูกสาวถูกล่อลวงบังคับมาค้าประเวณี
จากการตรวจค้นครั้งนี้ พบร้านคาราโอเกะดังกล่าว มีนายสาธิต สาระวัน อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2/5 ถ.รัตชนะอุทิศ เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก แสดงตัวเป็นเจ้าของ โดยเจ้าหน้าที่ สามารถช่วยเหลือหญิงสาวชาวลาวได้จำนวน 36 คน แยกเป็นหญิงชาวลาวที่ถูกบังคับค้าประเวณีที่ร้านเลขที่ 16 จำนวน 17 คน และที่ร้านเลขที่ 21 อีก 19 คน ในจำนวนนี้มีเด็กหญิงอายุไม่ถึง 18 ปี รวมอยู่ด้วย 3 คน จึงประสานไปยังเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินการจัดแยกผู้เสียหายตามพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 เพื่อเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือส่งตัวกลับประเทศ ต่อไป ส่วนนายสาธิตถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับร้านคาราโอเกะที่ดำเนินกิจการในลักษณะดังกล่าว มีมากมายนับร้อยๆ แห่งในพื้นที่อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ และอำเภอเมืองนราธิวาส ซึ่งที่ผ่านมาไม่ค่อยมีหน่วยงานใดเข้าดำเนินการจับกุม กระทั่งเจ้าหน้าที่ จากส่วนกลางต้องลงมาดำเนินการในที่สุด
ที่มา:นสพ.ข่าวสด
วันที่: 15 ธันวาคม 2554





--------------------------------------------------------------------------------
Date: Sat, 17 Dec 2011 00:29:42 -0800
From: toum.rasika@yahoo.com
Subject: Re: RDP LAO PROSTITUTE IN THAILAND
To: laosnetworkroom@googlegroups.com


ທ່ານ ແບລກ ຊາຟາຍ ທີ່ນັບຖື.


ຂ້າພະເຈົ້າ ຮູສຶກມີຄວາມເສັຽໃຈ ທີ່ໄດ້ເຫັນສະພາບການທີ່ອັບສູ ຂອງລູກແສ້ຫລານສາວລາວ ທີ່ໄດ້ມີສະພາບດັ່ງນີ້ຈາກຣະບອບການປົກຄອງ
ໂດຍມີ ຈ.ສຸພານຸວົງ ເປັນຕົ້ນເຫດ ແລະ ການຮັກເຊຶ້ອແກວ ຂອງໄກສອນ ພ້ອມທັງກຸ່ມໂຈນ ປຸ້ນບ້ານປຸ້ນເມືອງ ຢູ່ໃນຂນະນີ້.


ການທີ່ອອກຄວາມເຫັນໃນ ເວທີແຫ່ງນີ້ ຫລາຍແດ່ນ້ອຍນຶ່ງ ຍ້ອນວ່າ ມີ ຄວາມສາມາດຊ່ວຍການຕໍ່ສູ້ປະຊາທິປະໄຕ ນຳເພິ່ນໄດ້ເທົ່ານີ້ ແລະ
ອີກປະການນຶ່ງ ຜູ້ບໍ່ມີສິດປາກເວົ້າ ຢູ່ໃນລາວ ເວລາອົດບໍ່ລົນທົນບໍ່ໄດ້ ອອກປາກເວົ້າ ຕອນເມົາເຫລົ້າ ແນວລາວມັນແຮງງາບຄໍດີ ທັງທຸບທັງຕີ
ຈັບເຂົາ ຫ້ອງຂັງ ຖ້າຍາດພີ່ນ້ອງບໍ່ວີ່ງ ບໍເຕັ້ນ ບໍ່ເສັຽເງິນເສັຽຄຳ ກໍຖືກຈັບໄປເລີຍ ນີ້ລະເພິ່ນວ່າ ທຸກແຫ່ງຊ້້ຳ.


ສ່ວນລາວນອກ ມີສິດປາກເວົ້າ ຊ້ຳມິດງຽບ ປ່ອຍໃຫ້ ຜູ້ຕາງຫນ້າ ພັກເວົ້າ ບາງພັກກໍງອບໄປເລີຍ ເພາະວ່າ ເວົ້າໄປກໍບໍ່ເຫັນມີ
ການແກ້ໄຂຈັກເທື່ອ ຫມາຍຄວາມວ່າ ຍອມໄປເລີຍ ຈະວ່າຍອມຈຳນົນກໍແມ່ນ.


ສຳລັບ ຂພຈ ຈະປ່ຽນ ຫລື ບໍ່ປ່ຽນ ຫນ້າທີ່ເວົ້າໄປໂລດ ໄດ້ຂ່າວວ່າ VOA ກໍມີສິດໄດ້ຮັບຂ່າວຄືເຮົານີ້ລະ ຖ້າເຮົາ ເວົ້າແຕ່ເຣື່ອງດຽວຫມົດ
ອາທິດ ພວກນັກຂ່າວ ບໍ່ໄປຊອກເອົາຂ່່າວມາລົງ ຜູ້ອຸປຖັມ ຄົງບໍ່ເຫັນດີເຊັ່ນກັນ.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ตร.ปดส.ยกกำลัง ทลายซ่อง"บ้านต้นปาล์ม-บ้านไซอิ๋วเบียร์การ์เด้น" กลางเมืองหมากแข้ง อุดรธานี ตรวจพบสาวลาวเข้ามาค้าบริการเกือบ 40 คน จับกุมแม่เล้า-แมงดา 4 คน เผยดัดแปลงบ้านเปิดเป็นร้านเบียร์การ์เด้นลอบค้าบริการทางเพศโจ๋งครึ่ม ค้นเจอถุงยางอนามัยทั้งที่ยังไม่ได้ใช้กับใช้แล้วจำนวนมาก พร้อมบัญชีรายรับรายจ่าย ชิปแทนจำนวนแขก แฉ "ป๋าอ้อย" เป็นเจ้าของ มีเครือข่ายอยู่ในหลายอำเภอ ทั้งบ้านผือ-วังสามหมอ-ศรีธาตุ

เมื่อ เวลา 18.00 น.วันที่ 17 ธ.ค. 2554 พ.ต.ท.กิตติภพ อนุวงศ์วราเวทย์ สว.กก.1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชน และสตรี (ปดส.) รับแจ้งทางเว็บไซต์ปดส.ว่า ที่บ้านต้นปาล์ม เลขที่ 200/24 ซอยอดุลยเดช 3 ถ.อดุลยเดช ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี และบ้านไซอิ๋วเบียร์การ์เด้น ไม่มีเลขที่ ซอยอดุลยเดช 3 เปิดเป็นสถานบริการ มีการลักลอบนำผู้หญิงจาก สปป.ลาว มาให้การบริการแก่นักเที่ยวกลางคืน จึงพร้อมด้วยพ.ต.ต.จักรกฤษณ์ วงศ์พรหมเมษร์ สว.งานสืบสวนปราบปราม ศูนย์ตรวจคนเข้าเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.นครราชสีมา มาสืบสวนแล้วนำกำลังจำนวน 15 คน พร้อมหมายค้นของศาลจังหวัดอุดรธานีที่ 314/2549 และที่ 315/2549 เข้าตรวจค้นบ้านดังกล่าว

หลังเจ้าหน้าที่ นำกำลังเข้าตรวจค้น พบว่าบ้านต้นปาล์มเป็นตึก 3 ชั้นสีเขียว ด้านล่างเปิดเป็นห้องโชว์ติดไฟสีแดง อีกฟากเป็นร้านขายสบู่ ยาสีฟัน ถุงยางอนามัยแก่แขกที่มาใช้บริการ ส่วนบ้านไซอิ๋วเบียร์การ์เด้นนั้นเป็นบ้านชั้นเดียวอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านต้น ปาล์ม ตัวบ้านติดไฟสีแดง มีห้องโชว์หญิงบริการ จากการตรวจค้นทั้ง 2 หลังพบหญิงบริการเป็นชาวลาว 37 คน และผู้คุ้มครองหญิงทั้งหมดให้บริการแขก เป็นหญิง 1 คน ชาย 3 คน คือนางนันทพัทน์ มูลเทพ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 134 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.น่าน นายสมบูรณ์ บุญเติม อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 263 ต.จุน อ.จุน จ.พะเยา นายวิรัตน์ มั่นดี อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40/45 บ้านหนองไส ต.หนองบัว อ.เมืองอุดรฯ และนายเอกชัย ภากัย อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 134 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรฯ นอกจากนี้ยังพบถุงยางอนามัยทั้งที่ใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้จำนวนมาก บัญชีรายรับรายจ่าย และชิปสีน้ำเงินแทนจำนวนบริการแขก จึงควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สภ.อ.เมืองอุดรฯ พร้อมของกลาง

พ.ต.ท.กิตติ ภพเผยว่า การจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องจากมีประชาชนในอุดรฯ ร้องทุกข์เข้าไปในเว็บไซต์ของ ปดส.ว่า มีชาวต่างชาติเข้ามาขายบริการในซอยดังกล่าวเป็นจำนวนมาก จึงออกมาสืบสวน โดยการสืบสวนจับกุมครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทางสถานที่เปิดให้การบริการจ้างทั้งพวกวินมอร์เตอร์ไซค์ และพวกสามล้อปั่น ไว้เป็นสายคอยดูต้นทางที่ปากซอย จึงต้องเปลี่ยนรถที่ใช้ในการนี้กระทั่งจับกุมได้จำนวนมากดังกล่าว

พ.ต.ต. จักรกฤษณ์กล่าวว่า สถานบริการแห่งนี้จากการสืบทราบพบว่าเปิดเป็นสถานบริการที่มีเครือข่ายค้า มนุษย์รายใหญ่แห่งหนึ่ง มี "ป๋าอ้อย" เป็นเจ้าของ ซึ่งหลบหนีไปได้และมีเครือข่ายอยู่ในต่างอำเภอของ จ.อุดรธานี อยู่หลายอำเภอด้วยกัน คือ ที่ อ.บ้านผือ อ.วังสามหมอ และอ.ศรีธาตุ ซึ่งในขั้นตอนต่อไปคือจะส่งฟ้องศาล และขอหมายจับจากศาลจังหวัดอุดรฯ แล้วขั้นตอนต่อไปก็จะขอยึดทรัพย์ในที่สุด เพื่อเป็นการตัดตอนของขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติเสีย และการจับกุมในครั้งนี้จากการสอบสวนพบว่ามีหญิงชาวลาวที่อายุไม่ถึง 20 ปีอยู่ 3 คนโดนหลอกลวงมา ซึ่งหลังการสอบสวนแล้วถ้าพบว่าหญิงคนใดที่อายุไม่ถึง 20 ปีก็จะส่งให้กรมพัฒนาสังคมนำไปดำเนินการ ส่วนที่อายุเกิน 20 ปีก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย "การค้าประเวณี โดยผิดกฎหมาย" และ "หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย"


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ในพระเจ้าไม่มีความบังเอิญ= เขียนโดย: คุณรูธ และคุณอรุณ ซ๊อกเน๊พ
เรื่องของอรุณและรูธ ซ๊อก เน๊พ (Arun & Ruth Sok Nhep) สามีชาวกัมพูชาโดยกำเนิด และ ภรรยาชาวฝรั่งเศส ผู้มาจากวิถีชีวิตที่แตกต่าง แต่ พระเจ้าทรงนำให้มาพบกันและทำงานรับใช้พระองค์ ร่วมกัน
ปัจจุบันอรุณเป็นเจ้าหน้าที่สหสมาคม พระคริสตธรรมแห่งภาคพื้นเอเซีย-แปซิฟิก ทำงานที่ ประเทศสิงคโปร์ มีบุตรชาย 2 คนอายุ 14 และ 16 ปี อรุณ ซ๊อก เน๊พ (Arun Sok Nhep) เกิดใน กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา บิดาเป็นข้าราชการ ทหาร ทั้งครอบครัวได้มารับเชื่อพระเจ้า โดย เริ่มจากน้องชายซึ่งไปวิ่งเล่นที่โบสถ์คริสเตียน ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จึงมีโอกาสเรียนรู้เรื่องพระเจ้า และได้นำพ่อและแม่มาเชื่อพระเจ้าด้วย แต่อรุณคิดว่า ตนเองเป็นหนุ่มแล้วไม่ควรจะให้ใครมาจูงจมูกได้ง่ายๆ

เมื่ออรุณอายุได้ประมาณ 17 ปี สงครามขยายลัทธิ คอมมิวนิสต์กระจายไปทั่วคาบสมุทรอินโดจีน รวม ทั้งกัมพูชา การฆ่าฟันและความเกลียดชังกันแพร่ กระจายไปทั่ว ความโหดร้ายของภัยสงครามกลาย เป็นเรื่องประจำวัน สิ่งเหล่านี้ทำให้อรุณมาครุ่นคิดถึง ความหมายที่แท้จริงของชีวิต จึงได้หยิบ พระคริสตธรรมคัมภีร์ที่มีอยู่ในบ้านมาอ่าน เขาพบว่า หนังสือเล่มนี้มีพลังอำนาจและตอบปัญหาที่เขา สงสัยได้ ในยามสงครามนั้นเองเขาได้ตัดสินใจ มอบชีวิตของเขาให้พระเยซูคริสต์ หลังจากรับเชื่อพระเจ้าเพียงไม่กี่วัน สงครามเข้ามาใกล้ตัวทำให้พ่อแม่พี่น้องต้องกระจัดกระจายไป คนละทิศคนละทาง ตัวเขาเองพยายามหนีไปยัง ประเทศเวียดนาม เพื่อลงเรือไปประเทศที่สาม พร้อม กับชาวเวียดนาม แต่ไม่สำเร็จและยังถูกจับไว้เป็น เวลาถึง 4 เดือน โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบว่าได้ทำความผิดประการใด เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจและเห็น คุณค่าของคำว่าอิสรภาพ เมื่อถูกปล่อยตัว อรุณไม่สามารถเดินทางกลับพนมเปญได้เพราะสงคราม ภายในประเทศรุนแรงมาก หากกลับไปก็อาจอันตรายแก่ชีวิต เขาจึงตั้งใจเดินทางไปยังประเทศลาวเพื่อข้ามมายังฝั่งไทย เส้นทางจากกัมพูชามาเวียดนามและลาว อรุณและคนอื่นๆ เดินทางด้วยเท้าในป่าทั้งสิ้น อรุณมองเหตุการณ์กลับไปเมื่อข้ามมายัง ชายแดนฝั่งลาว ยิ่งมองเห็นพระคุณของพระเจ้า ที่มีแก่ตัวเขาอย่างชัดเจนในท่ามกลางความทุกข์ยาก นานาประการ

ที่เมืองอัตตะปือ ประเทศลาว เขาถูก ทหารลาวจับเนื่องด้วยความเข้าใจผิดจากการวิพากษ์ วิจารณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์โดยเพื่อนร่วมทางบางคน และเขายังถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยสืบราชการลับ เพราะพูดภาษาฝรั่งเศสได้แต่อธิบายตัวเองเป็นภาษาลาวไม่ได้ เขาถูกควบคุมตัวอยู่ในค่ายกักกันของ ตำรวจลาวถึง 3 เดือน ในระหว่างนี้ได้รับหนังสือ จากคริสเตียนลาว เป็นพระคัมภีร์คัดตอนชื่อ "ขอจง ฟัง" (เรื่องของบุตรน้อยหลงหายและเหรียญหล่นหาย จากพระธรรมลูกา 15:8-32) ซึ่งทำให้อรุณอยากจะอ่าน และพูดภาษาลาวให้ได้ จึงได้ขอให้ผู้คุมเป็นผู้สอน ภาษาลาวแก่เขา ตลอดเวลา 3 เดือนที่ถูกกักขังนั้น ผู้คุมกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อเขาและเพื่อนเขมรอีก 4 คนที่หนีออกจากประเทศมาด้วยกัน ผู้คุมได้เห็นว่า แท้จริงแล้ว เขาและเพื่อนไม่ใช่คนทำผิดคิดร้ายกับใคร และเลิกใช้ปืนกำกับคนกลุ่มนี้ ในที่สุดได้รับการ ปล่อยตัวจากที่คุมขังแห่งนี้ แต่ถูกส่งไปค่ายกักกัน อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องทำงานในทุ่งนาตอนกลางวัน และอบรม "ล้างสมอง" ตอนกลางคืน ทางการลาว ได้ส่งผู้ที่พูดภาษาเขมรมาเป็นผู้ "ล้างสมอง" อรุณ และเพื่อน แต่ผู้อบรมกลับเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ คนร้ายและยังเป็นเด็กหนุ่ม อายุแค่ 20 ปี จึงปลอบใจ ว่าหากอยากไปเมืองไทย ก็ให้อยู่ที่ค่ายนี้ไปก่อน สักระยะ ด้วยพระคุณของพระเจ้า บุคคลนี้ก็ได้กลาย เป็นเพื่อนที่ดีกับอรุณและเพื่อนตลอดเวลา 1 ปี ที่อยู่ในค่าย เขาสามารถไปไหนมาไหนในเมืองได้ โดยในตอนแรกต้องมีตำรวจไปด้วย แต่ต่อมาก็ไปไหน มาไหนได้เองอย่างมีอิสระภายในเขตจังหวัด เพียงแต่ต้องได้รับการอบรม "ล้างสมอง" และทำงานในทุ่งนาต่อไป

หนึ่งปีผ่านไป อรุณสามารถสื่อสารด้วย ภาษาลาวได้ และอ่านพบในหนังสือปกแดงคู่มือลัทธิ คอมมิวนิสต์ซึ่งกล่าวว่าหากใครเป็นคนต่างชาติ ก็มีอิสระที่จะไปไหนมาไหนได้ วันหนึ่งเขามีโอกาส อยู่ใกล้นายใหญ่ของค่ายกักกันนั้นตามลำพัง และได้ ถือโอกาสบอกนายผู้นี้ว่าอยากไปเวียงจันทน์ ซึ่งนายไม่เชื่อเพราะเวียงจันทน์นั้นอยู่ใกล้มาก เขารู้ว่าอรุณ ต้องการไปเมืองไทยมากกว่า แต่อย่างไรก็ดี เขาจะช่วย ให้ได้ออกไปจากเมืองอัตตะปือ เพราะอรุณยังเด็ก คอมมิวนิสต์ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเด็ก จากนั้นอรุณ ก็ได้รับเอกสารที่สามารถใช้เดินทางไปต่างเมืองได้ เขาจึงเดินทางด้วยเท้ามาถึงสุวรรณเขต แต่ก็ถูกจับอีก เพราะมีเหตุการณ์เกิดจากกลุ่มอื่นๆ ในที่สุด ก็มาถึงเวียงจันทน์ มีผู้เมตตาแนะนำให้ไปหาสถานทูต ฝรั่งเศสประจำประเทศลาวและสภากาชาดโลก

จากจุดนั้น อรุณจึงได้ไปถึงฝรั่งเศส ในฐานะผู้อพยพ ในปี 1977 ที่ประเทศฝรั่งเศส อรุณได้ทำงานในโรงงานผลิตรถยนต์ ขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าร่วมนมัสการในคริสตจักรและมีส่วนร่วมรับใช้ในพันธกิจเกี่ยวกับผู้อพยพ อรุณได้พยายามสืบหาพ่อแม่และน้อง และที่สุดได้พบแต่แม่และน้อง ซึ่งได้รับความช่วยเหลือ ให้ไปอยู่ที่ประเทศคานาดา ส่วนพ่อนั้นได้เสียชีวิต ที่กัมพูชาไปแล้ว เมื่ออยู่ในฝรั่งเศสได้ 1 ปี ศิษยาภิบาลของคริสตจักรได้เริ่มเชิญชวนอรุณมาสู่การรับใช้ คริสตจักรเต็มเวลา โดยจะส่งไปเรียนพระคัมภีร์ก่อน แต่เขาปฏิเสธว่าเขารับใช้คริสตจักรได้ แต่ไม่ใช่ในฐานะ ศิษยาภิบาล เขามีงานทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขา จะทิ้งงานนั้นมาทำงานคริสตจักร ศิษยาภิบาลท่านนี้ ได้เฝ้ากวนใจอรุณทุกครั้งที่พบหน้าเป็นเวลา 3 เดือน ในที่สุดเขาปฏิเสธต่อไปไม่ได้ จึงตอบรับเพียงเพื่อ ตามใจศิษยาภิบาล ซึ่งท่านก็รีบติดต่อโรงเรียน พระคริสตธรรมในปารีสให้ส่งใบสมัครมาให้ และ จัดการหาทุนการศึกษาให้เสร็จสรรพ เมื่อจัดการ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้น ศิษยาภิบาลและ ภรรยาก็ไปพักร้อน และวันนั้นเองได้เกิดอุบัติเหตุ ทางรถยนต์ เสียชีวิตทั้งคู่ เหตุการณ์นี้ทำให้อรุณ เพิ่งเข้าใจและแน่ใจว่าพระเจ้าทรงเรียกเขาให้ถวาย ตัวรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา เขาเรียนในวิทยาลัย พระคริสตธรรมที่กรุงปารีส 4 ปี และได้สำเร็จการ ศึกษาในปี 1982

ทุกครั้งที่อรุณคิดย้อนกลับไปถึงอดีต เขา ไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์เหล่านี้ต้องเกิดขึ้นกับเขา ทำไมชีวิตต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก ความโหดร้าย ของสงคราม และการพลัดพราก แต่เขารู้ว่าทุกสิ่ง ที่เกิดขึ้นเป็นผลดีเสมอต่อผู้ที่เชื่อและรักพระเจ้า.



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

From: blacksaphire@hotmail.fr
To: specom2009@comcast.net
Subject: RE: ໃຊ້ສູນບໍາບັດປິ່ນປົວພວກຕິດຢາເສບຕິດ ເປັນສູນກັກຂັງທໍຣະມານປະຊາຊົນຜູ້ທຸກຍາກ,
Date: 8.12 2011 18:58:52 +0200


ชายหนุ่ม-หญิงสาวลาวเหล่านี้คือพลังของชาติลาวในอนาคตในการสร้างชาติกำลังถูกมอมเมาด้วยยาเสพติด,ยาบ้า เพื่อทำลายคนลาวทังชาติจากอดิตร์จน
ถึงปัจจุบันนี้จากประเทศไกล้เคียง เพราะเขามีนโยบายกืนกินชาติลาวไห้เป็นของเขา เพื่อไห้คำ่ว่า"ลาว-คนลาว"หมดสิ้นไปในแผนที่ของโลกนี้ ในลาวตะวัน
ตกเฉียงเหนือ(ไทอิสาน)และลาวตะวนออก(ลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง)ก็เช่นเดียวกัน ทิสดีการเมืองของไทยสยามและเวียตนามที่กระทำต่อประเทศลาวคนลาวนี้
นับมาได้หลายร้อยปีแล้ว กรุณาไห้คนลาวผู้ที่ยังรักความเป็นลาวอยู่ไห้ไปอ่านประวัติศาสตร์เรื่อง"สงครามอันนาม-สยามยุทธ์"เรื่องนี้สำคัญมากคนลาวทุกๆคนควรหามาอ่านเพราะเป็นเรื่องสงคราม
"ไทยสยาม กับ เวียตนาม"ทำสงครามแ่ย่งชิงแผ่นดินลาว,เขมร กันในอดิตร์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ สัตรูของลาว
สำคัญในอดิตร์ถึงปัจจุบันนี้ก็คือ ไทยสยาม กับ เวียตนาม กำลังแย่งชิงกันเป็นเจ้าทาส รองลงมาก็คือจีนกำลังแย่งกืนกินอีกเพราะเคยได้มาแล้วเขตยูนานใน
อดิตรแล้ว ปัจจุบันนี้ได้แล้วเขตภาคเหนือจากแขวงห้วยซาย(บ่อแก้ว)ถึงยูนาน ในรูป"สัญญาเช่า 99ปี" คนลาว หรือ ผู้นำ พัก-ลัด สปปล ไม่เข้าใจเรื่องการ
เมืองในการปกครองชาติเลย เพราะขาดการศึกษา ความรู้ส่นมากไม่จบประถมเข้ามาปกครองชาติ จึงถูกชาติอื่นหลอกลวงได้เพราะโง่เขลาเบาปัญญา จะไม่
ไห้ชาิติเกีด และประชาชนลาวทกข์จนได้ย่างไร...คนลาวฉลาดเพียงด้านเดียวคือ กินทาน,ทำบุญ,เล่นไพ่,เ้ต้นลำ,ร้องเพลง,ฟังเพลงไทยสยาม-เพลงลาว,กิน
เหล้า,ไหว้เทวดา,ไหว้พญานาค ต่อมาก็ช่วยกันสร้างวัดเื่อไห้"คูบา"ไทยสยาม,ลาวแดง มาัรับของทานบริจาค และเอาข่าว"ลาวนอกปะติกานขายซาด"กลับไป
ไห้ พัก-ลัด สปปล-แกวแดงอีก นี้คือความจริง...ถ้าอยากไห้ชาติเกีดมี"ประชาธิปไตย"พวกท่านต้องช่วยกันต่อต้าน,ต่อสู้ทุกๆรูปแบบเช่นเดียวกับพวกแนวลาว
ฮักซาดเขาทำลายพวกท่านใน 1973-1975 กรุณาขอความคิดเห็นจาก"21องค์การ"ว่าพวกเขาทำลาย"พระราชอาณาจักรลาว"สำเ็ร็จได้ย่างไร!!!




--------------------------------------------------------------------------------
Date: 18.12 2011 11:49:18 -0500
From: specom2009@comcast.net
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
CC: alansananikone@yahoo.com; anousack.thamma@sympatico.ca; blacksaphire@hotmail.fr; bboualaphanh@gmail.com; brajphoumy@yahoo.com; bounkhong.arounsavat2@gmail.com; karasa1@hotmail.com; bounthanh_pousavanh@yahoo.com.au; khamkeob@ohsu.edu; chanthalavong@aol.com; khamlay.mounivongs@hotmail.fr; amerilao@gmail.com; LaoDemo@cs.com; johnanouvong@yahoo.com; kdseri@yahoo.com.au; kboon12@gmail.com; specom2009@comcast.net; kongpakanh@hotmail.fr; khamphiou@hotmail.com; lxenexai@hotmail.com; loukmahaxay001@9online.fr; mmnirajd@aol.com; mothana@bbox.fr; nouksk@comcast.net; schidhalay@hotmail.com; S.NHOYBOUAKONG@gerep.fr; saysitthideth@hotmail.com; soun1000@hotmail.co.uk; schanthavixay@yahoo.com; chanthaveunxay@hotmail.com; yenvisetx@hotmail.com
Subject: ໃຊ້ສູນບໍາບັດປິ່ນປົວພວກຕິດຢາເສບຕິດ ເປັນສູນກັກຂັງທໍຣະມານປະຊາຊົນຜູ້ທຸກຍາກ,

ລາວຄອມມິວນິສ ໃຊ້ສູນບໍາບັດປິ່ນປົວພວກຕິດຢາເສບຕິດ ເປັນສູນກັກຂັງທໍຣະມານປະຊາຊົນຜູ້ທຸກຍາກ, ຂໍທານ, ບໍ່ມີທີ່ພັກເຊົາ, ເດັກນ້ອຍເກເລໃນຖນົນ, ກວດລ້າງພວກທີ່ເຂົາບໍ່ມັກໄປຂັງໂຮມບ່ອນດຽວກັນ.ທີ່ສູນ ''ສົມສະງ່າ'' ສູນແຫ່ງນີ້ບໍ່ໄດ້ທໍາການປິ່ນປົວ ເບິ່ງແຍງຜູ້ມີບັນຫາຍາເສບຕິດແຕ່ປະການໃດ, ແລະສູນແຫ່ງນີ້ແມ່ນໄຊ້ງົບປະມານຂອງອົງການມະນຸສທັມສາກົນ ທີ່ມີ ອົງການສະຫະປະຊາຊາຕ, ສະຫະຣັດ ອະເມຣິກາ, ແລະອີກຫລາຍປະເທດໃຫ້ການຊ່ວຍເຫລືອ ຕາມຄໍາຮ້ອງຂໍຂອງຣັຖະບານ ນັບແຕ່ປີ 2002 ເປັນຕົ້ນມາ. ພວກຖືກຈັບໄປຂັງ ຈະຖືກຕີ ທໍຣະມານຂົ່ມເຫັງແບບໄຮ້ຄວາມເປັນມະນຸສ.ລາວຄອມມີວນີສຈະເຮັດ ທຸກຢ່າງເພື່ອເອົາຫນ້າລອດ, ເພື່ອອວດອ້າງຫລອກລວງຊາວຕ່າງດ້າວແບບໂງ່ໆ ໂດຍບໍ່ຄໍານຶງເຖິງຄວາມປ່າເຖື່ອນໂຫດຮ້າຍ, ຄົນພວກນີ້ບໍ່ຮູ້ຈັກວ່າບາບ, ບຸນ, ຄຸນໂທດເປັນແນວ ເປັນພວກຄົນທີ່ມີໃຈດໍາອໍາມະຫິດທຸກຣະດັບຊັ້ນ, ມອງບໍ່ເຫັນແສງສວ່າງ ໃນຊີວິຕນອກຈາກຄວາມເຫັນແກ່ຕົວ, ເປັນຄົນປ່າເຖື່ອນໄປທັ້ງປະເທດ, ເຫັນຄວາມຕາຍ ເຫັນຄວາມທໍຣະມານ ເຈັບປວດຂອງຄົນເປັນຂອງທັມະດາ, ເຊີນທ່ານເບິ່ງວີດີໂອ, ແລະຕິດຕາມລາຍຣະອຽດຢູ່ລຸ່ມນີ້.

http://youtu.be/TapsnP5lyko

http://www.hrw.org/news/2011/10/11/Laos-drug-users-undesirables-detained-abused


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7689 ข่าวสดรายวัน


หนาวจัดคนลาวเข้ารักษาร.พ.ไทย




ผิงไฟ -สภาพอากาศในจังหวัดน่านที่หนาวเย็นมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยเฉพาะชาวไทยภูเขา จ.น่าน ที่อยู่ตามดอยสูงและมีฐานะยากจน หาวิธีคลายหนาวด้วยการก่อกองไฟผิงทั้งเช้าและในเวลากลางคืนเพื่อบรรเทาทุกข์ทรมานจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น


อุบลราชธานี - น.พ.สุรพร ลอยหา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ระบุว่า ช่วงนี้ ตามโรงพยาบาลต่างๆ มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงมากกว่าช่วงปกติ 2-3 เท่าตัว ทำให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งมีผู้ป่วยแออัด แต่แพทย์พยาบาลยังสามารถให้การรักษาได้ตามปกติ ส่วนผู้ป่วยที่เป็นชาวลาวที่เข้ามารับการตรวจรักษากับโรงพยาบาลประจำอำเภอ และโรงพยาบาลตำบลตามที่คนลาวมีภูมิลำเนาอยู่ใกล้เคียง จะเป็นผู้ป่วยนอก มารับการตรวจรักษาและขอรับยา ให้การตรวจรักษาฟรี เพราะคนลาวเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน จึงให้การรักษาตามหลักมนุษยธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์ ซึ่งมีเฉลี่ยราววันละ 20-30 ราย

ด้านจ.น่าน เนื่องจากสภาพอากาศในจังหวัดน่านที่หนาวเย็นมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะชาวไทยภูเขาที่อยู่ตามดอยสูงและมีฐานะยากจน ซึ่งอุณหภูมิบนดอยลดต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส ทำให้หลายครอบครัวที่ขาดแคลนเครื่องกันหนาวต้องหาวิธีคลายหนาวด้วยการก่อกองไฟผิงคลายหนาว ทั้งเช้าและในเวลากลางคืน จึงทำให้ช่วงนี้ชาวบ้านต้องเร่งหาฟืนตามป่ามาเก็บไว้ที่บ้าน

นายจั่นเหวน แซ่พ่าน อายุ 83 ปี ชาวไทยภูเขาเผ่าเมี่ยน กล่าวว่า ลำพังแค่เสื้อกันหนาวกับผ้าห่มไม่พอคลายหนาว ต้องอาศัยการก่อกองไฟผิงช่วย แต่ด้วยอายุที่มากแล้วไม่มีเรี่ยวแรงออกไปหาไม้ฟืน จึงจำเป็นต้องซื้อไม้ฟ?นที่พ่อค้าใส่รถปิกอัพเข้ามาขายราคาลำรถละ 800 บาท เพื่อใช้คลายหนาว และหากปีนี้สภาพอากาศหนาวเย็นยาวนานตามที่เป็นข่าว ก็อาจจะต้องซื้อเพิ่มอีก

หน้า 9




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

คุยกับคนทำหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" (Free Akong) - อ่านบทความ "อากงปลงไม่ตก" โดยโฆษกศาลยุติธรรม วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:45:00 น.

matichon




ปวิน


สิทธิศักดิ์






จากคดีจำคุกชายชราวัย 61 ปี ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นำมาสู่การรณรงค์โครงการ "ฝ่ามืออากง" ซึ่งได้ผลตอบรับเกินคาด มีผู้เข้าร่วมโครงการโดยวิธีส่งภาพถ่ายฝ่ามือ ที่เขียนตัวอักษร "อากง" มาหลายร้อยรูปภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ กระทั่งสามารถรวบรวมเป็นสมุดภาพได้อย่างรวดเร็ว


สมุดภาพเล่มนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดผู้ริเริ่มเคลื่อนไหวคนแรกคือ "ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ กระทั่งการรวบรวมภาพนั้น นำมาผนวกเข้ากับบทความและคำนิยมของนักวิชาการคนสำคัญ อย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธงชัย วินิจจะกูล และ David Streckfuss กลายเป็นหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" (Thailand’s Fearlessness: Free Akong)


"ปวิน" เปิดเผยกับ "มติชนออนไลน์" ว่า ตอนนี้มีผู้ส่งรูปถ่ายมาเข้าร่วมโครงการมากกว่า 500 รูป หลังจากเริ่มรณรงค์วันแรกทางเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 30 พ.ย. โดยไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์อะไรมาก


"ขอให้เขียนชื่ออากงบนฝ่ามือ และถ่ายรูปเต็มตัวให้เห็นหน้า ′เพื่อชี้ว่าเราได้ก้าวข้ามความกลัว′ แต่ก็มีบางคนที่มีไอเดียอย่างอื่น ก็ไม่เป็นไรครับ ผมรับทุกรูป ผมดีใจที่เห็นเพื่อนๆ ให้ความสนใจ และตื่นตัวกับปัญหาที่มากับมาตรา 112 นี้ บางคนก็ส่งความเห็นมาครับ ส่วนใหญ่มาเป็นการบรรยายประกอบภาพ ส่วนใหญ่ตระหนักดีว่ามาตรานี้ก่อให้เกิดปัญหามาก และต้องการเห็นสังคมไทยเดินหน้าต่อไป บนพื้นฐานของความยุติธรรม"


สำหรับความคาดหวังต่อโครงการนี้ เขาบอกว่า การเริ่มต้นในการเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนออกมาเคลื่อนไหวเป็นสาระสำคัญ


"ผมไม่อยากคาดหวังอะไรที่เกินไปกว่าความเป็นจริง ผมจึงยังไม่รู้ว่า โครงการอากงนี้จะลงเอยอย่างไร แต่ผมยังไม่ยอมยุติเพียงเท่านี้ และคิดว่าจะมีกิจกรรมเพิ่ม ผมหวังว่า กรณีอากงและโครงการของผมเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายคนออกมาร่วมการเคลื่อนไหว ผลักดันให้รัฐบาลนำเรื่องนี้ไปพิจารณาอย่างจริงจัง จุดหมายปลายทางอยู่ที่การแก้ไขมาตรานี้เป็นอย่างน้อย"


สำหรับผลตอบรับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการนี้ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อข้อกล่าวหาเหมารวมว่าไม่จงรักภักดีนั้น "ปวิน" บอกว่า ได้รับเสียงสะท้อนในแง่บวกมากๆ และสิ่งที่ทำตั้งอยู่บนเจตนาดี


"เรามีความจงรักภักดี เราจึงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี และเชื่อผมเถอะ การแก้ไขกฎหมายหมิ่นฯ จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของการรักษาไว้ซึ่งสถาบัน" ปวินกล่าว


ผู้สนใจการรณรงค์สมุดภาพเล่มนี้ สามารถร่วมงานเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" (Thailand’s Fearlessness: Free Akong) และชมนิทรรศการภาพถ่ายได้ ในวันพฤหัสที่ 15 ธันวาคม 2554 ณ ลานปรีดี หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เวลา 17:30 – 20:00 น. รายได้จากการขายหนังสือทั้งหมด (หลังหักค่าจัดพิมพ์) มอบให้ครอบครัวของ "อากง"


กำหนดการงานเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว"


17:30 น. เปิดให้เข้าชมนิทรรศการภาพถ่าย สื่อมวลชนลงทะเบียนเพื่อรับหนังสือ และ VCD


18:15 น. ฉายวีดีทัศน์ "อภยยาตรา" และรับฟังเพลง "แดนตาราง" นิธินันธ์ ยอแสงรัตน์ ขับร้อง บรรเลงไวโอลีนโดย ฌส นิยมทรัพย์


18:30 น. แถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" โดย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และชวนสนทนาว่าด้วยการก้าวข้ามความกลัว กับ สาวตรี สุขศรี นักวิชาการคณะนิติราษฎร์, วรพจน์ พันธุ์พงศ์ นักเขียนอิสระ และ วันรัก สุวรรณวัฒนา อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


----------


"อากงปลงไม่ตก" โดยสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม


หมายเหตุ : สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ได้เขียนและเผยแพร่บทความแสดงความเห็นเกี่ยวกับ "คดีอากงส่งเอสเอ็มเอส" ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้


อากงปลงไม่ตก


พลันสิ้นคำอ่านคำพิพากษาศาลอาญาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.311/2554 ระหว่างพนักงานอัยการฯ โจทก์ นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) จำเลยอายุ 61 ปี ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นแสดง ความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินีฯ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2)(3) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 หรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่า "คดีอากง" กระแสสังคมเกือบทุกสาขาอาชีพต่างให้ความสนใจเหมือนกระแสน้ำที่ไหลบ่ามาท่วมศาลและกระบวนยุติธรรมเช่นน้ำท่วมกรุงเทพฯที่ผ่านมารวมทั้งต่างชาติบางประเทศก็ให้ความสนใจแสดงความห่วงใยวิพากษ์วิจารณ์ ศาลยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์นัก


แต่ไม่ว่าความเห็นของสังคมจะสื่อสารในทางใดก็ตาม ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้ ซึ่งการนิ่งเฉยของศาลและกระบวนยุติธรรมมิได้มีค่าเป็นตำลึงทองเสียแล้ว


ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำความจริงบางประการในท้องสำนวนคดีนี้ ประกอบกับประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยมานำเฉลยเอ่ยความ เพื่อเป็นข้อมูลแลกเปลี่ยนกับท่านผู้อ่านที่เคารพ ซึ่งมีประเด็นใหญ่ๆ ที่ผู้คนกล่าวขานกันดังนี้


1. อากงไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุก


2. ศาลลงโทษจำคุก 20 ปี เป็นโทษที่หนักเกินไป


3. อากงอายุมากแล้วควรได้รับการลดโทษ ปล่อยตัวไป หรือได้รับการประกันตัว


4. ศาลไทยไม่มีมาตรฐานสากล ควรรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล


5. ควรยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคอมพิวเตอร์


ในข้อแรก ผู้ที่เห็นว่าอากงมิได้กระทำความผิดนั้น หากเป็นการตัดสินกันเองโดยบุคคลกลุ่มคนนอกศาลและกระบวนการยุติธรรม คงจะหาเหตุผลรองรับความชอบธรรมยากสักหน่อย เพราะเป็นความเชื่อส่วนตนที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เป็นอัตวิสัยที่อาจปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม


ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากงหรือจำเลยมีความผิด เพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริงแต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษาก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับ หรือแก้คำพิพากษาศาลล่างก็ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด การจะด่วนสรุปว่าอากงเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยเสร็จเด็ดขาดนั้น ก็ยังมิใช่เป็นเรื่องที่แน่แท้เสมอไป ดังที่บางคนมีความเชื่อและเข้าใจในทำนองนั้น แท้จริงแล้วอากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด


ข้อต่อมาที่ว่าเหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดาที่เป็นการดูหมิ่นใส่ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างร้ายแรงกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก


ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว


สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินีด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อนและต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์พระประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา แม้ในยามทรงพระประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนเช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิดรวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่าจึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง


ข้อสอง คดีนี้มีข้อเท็จจริงบางประการที่ผู้วิจารณ์อาจยังรู้ไม่ครบถ้วนและเข้าใจคลาดเคลื่อนคือ นอกเหนือจากพฤติการณ์แห่งคดีหรือข้อความหมิ่นประมาทที่มีความรุนแรงและร้ายแรงอย่างมากแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า ผู้กระทำไม่ได้กระทำความผิดแค่ครั้งเดียว แต่มีการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ ด้วยถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายถึง 4 ครั้ง มีถ้อยคำที่แตกต่างกันทุกครั้ง แสดงถึงเจตนาที่จงใจกระทำผิดกฎหมายอย่างท้าทายไม่ยำเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอดจนถึงในชั้นศาลจึงไม่มีเหตุลดโทษบรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กฎหมายระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี


ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในความผิดแต่ละครั้งจำคุกกระทงละ 5 ปี ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นโทษบทหนักนั้น เป็นการลงโทษสูงกว่าโทษขั้นต่ำของกฎหมายเพียง 2 ปี ยังเหลืออัตราโทษอีก 10 ปีที่ศาลมิได้นำมาใช้ เมื่อนำโทษทั้ง 4 กระทงมารวมกันเป็น 20 ปี คนทั่วไปที่ไม่รู้จึงเข้าใจผิดคิดว่าศาลลงโทษครั้งเดียว 20 ปี เห็นว่าโทษหนักไป แต่ถ้าเทียบกับพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดีแล้ว หลายคนที่รู้จริงเห็นตรงข้ามว่าโทษเบาไปหรือเหมาะสมแล้วก็มี


ข้อสาม แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า "อากง" ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใด สามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด


สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ มาตรการที่เหมาะสมจึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรองในการกระทำความผิดอย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสมในการคุ้มครองรักษาความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชนด้วย จึงไม่แน่แท้เสมอไปว่าชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อหาความผิด ความเสียหายและพฤติการณ์การกระทำแต่ละคดีที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป ส่วนการจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่องๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108, มาตรา 108/1


ข้อสี่ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (International Covenant on Civil and Political Rights) ICCPR ได้บัญญัติรับรองในข้อ 19 ว่า


1) บุคคลมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากแทรกแซง


2) บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา ได้รับและสื่อสารข้อมูลและความคิดทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ไม่ว่าด้วยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยการพิมพ์ ในรูปแบบของศิลปะหรือโดยสื่อประการอื่นใดที่บุคคลดังกล่าวเลือก


3) การใช้สิทธิตามวรรคสองของข้อนี้ต้องประกอบด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบอันเป็นพิเศษ ดังนั้น สิทธิดังกล่าวจึงอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัด บางประการ แต่ข้อจำกัดนั้นต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติและเท่าที่จำเป็น


(ก) เพื่อเคารพต่อสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น


เพื่อคุ้มครองความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชนสาธารณสุขหรือศีลธรรมอันดี


นอกจากนั้น กติการะหว่างประเทศฯ ยังได้ให้ความคุ้มครองสิทธิของบุคคลในการที่จะไม่ถูกล่วงละเมิดทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเกียรติภูมิไว้ด้วยตามข้อ17 ซึ่งกำหนดว่า


"1. ไม่มีบุคคลใดที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การแทรกแซงตามอำเภอใจหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อความเป็นส่วนตัว ครอบครัวหรือการติดต่อสื่อสาร หรือการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อเกียรติภูมิและชื่อเสียง


2. บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกแซงหรือการโจมตีเช่นว่านั้น"


ฉะนั้นแม้การแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่กติการะหว่างประเทศฯให้การยอมรับแต่ในขณะเดียวกัน กติการะหว่างประเทศฯ ก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่าการใช้สิทธิดังกล่าวต้องทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบและไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคล เนื่องจากบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิในการรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของตนและต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วยเช่นกัน


กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือICCPR เป็นสนธิสัญญาพหุภาคี ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ให้การรับรองเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2509 และมีผลใช้บังคับเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2519 สนธิสัญญานี้ให้คำมั่นสัญญาว่าภาคีจะเคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของบุคคล ซึ่งรวมถึงสิทธิในชีวิต เสรีภาพในศาสนา เสรีภาพในการพูด เสรีภาพ ในการรวมตัว สิทธิเลือกตั้ง และสิทธิในการได้รับการพิจารณาความอย่างยุติธรรม จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 กติการะหว่างประเทศนี้มีประเทศลงนาม 72 ประเทศและภาคี 167 ประเทศ ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญานี้โดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับไทย เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2540 อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ที่ว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น แต่เสรีภาพดังกล่าวก็ยังถูกจำกัดได้โดยกฎหมายหากเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิ หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน..."


นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 บัญญัติว่าในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต และมาตรา 421ก็บัญญัติว่าการใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีมาตรฐานเช่นเดียวกับหลักการสากลข้างต้น อันแสดงว่าประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมายที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน


ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ หากผู้วิจารณ์คนใดยังศึกษาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ไม่ลึกซึ้งถึงแก่นแท้หรือมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนเพียงพอไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณี สังคมประเทศใดแล้ว การแสดงความเห็นว่าศาลหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นในทำนองห่วงใยว่าจะไม่มีมาตรฐานสากลนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และหมิ่นเหม่ต่อการกล่าวหากันอย่างไม่เป็นธรรม อาจทำให้คิดไปว่าผู้วิพากษ์เจือปนด้วยอคติที่ผิดหลงมีวาระซ่อนเร้น ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน และประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ข้อห้า กฎหมายทุกฉบับออกหรือตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นผู้แทนมาจากปวงชนชาวไทยสามารถแก้ไขปรับปรุงและยกเลิกได้ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าล้าสมัยไม่เหมาะสม ศาลเป็นเพียงผู้ใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ที่สภานิติบัญญัติตราขึ้น มีกฎหมายหลายฉบับเขียนให้ศาลแทบใช้ดุลพินิจไม่ได้ หรือต้องลงโทษสถานหนักในบางข้อหาเช่น ผลิตนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 แม้เพียง 1 เม็ดหรือ ข้อหาฆ่าบุพการี ต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นต้น แม้การแก้ไขยกเลิกกฎหมายจะกระทำได้ก็ตาม แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของสังคมและผลกระทบข้างเคียงอื่นที่อาจตามมาด้วย อย่าให้อารมณ์หรือกระแสแห่งการปลุกปั่นยั่วยุชักจูงไปในทางที่เสียหายได้


คดีอากงเป็นแค่ปฐมบทในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลยตามครรลองแห่งเสรีภาพที่กฎหมายเปิดช่องไว้ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด


การด่วนรวบรัดตัดความกล่าวโทษบุคคลหรือองค์กรที่ทำหน้าที่รักษากติกาสังคมอาจยังไม่เป็นธรรมนัก อย่างไรก็ตาม คนทุกชาติ ทุกภาษา ต่างหวงแหนรักในแผ่นดินเกิดของตนเองเคารพและศรัทธาในศาสดาที่เป็นผู้นำทางศาสนาของตนเอง ความแตกต่างทางความคิดเชื้อชาติศาสนาการปกครองบ้านเมืองศิลปวัฒนธรรม ประเพณี มิใช่สิ่งผิดปกติในสังคมโลก แต่การกล่าวร้ายใส่ความ แสดงความอาฆาตมาดร้ายศาสดาของศาสนาอื่น เป็นพฤติการณ์ที่ผู้เจริญมิสมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะน้ำผึ้งหยดเดียวอาจกลายเป็นความหายนะของชาติได้


ดังนั้น หากท่านผู้อ่านอยากรู้ปัจจุบันและอนาคตของชาติใด ขอจงศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น


สำหรับชาติไทยดำรงคงเอกราชมีเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย เป็นที่ชื่นชมยกย่องของคนทุกชาติทุกภาษา เพราะผู้คนในสังคมไทยยังมีความรักสามัคคี มีน้ำใจ เอื้ออาทรผ่อนปรนเข้าหากัน ไม่ก้าวร้าวรุนแรง โดยขาดสติไร้เหตุผลรักหวงแหน เทิดทูนในชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์จากรุ่นสู่รุ่น และปลูกฝังถ่ายทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน หากคนไทยยังรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิด ขอได้โปรดช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การจะติชมวิพากษ์เป็นเสรีภาพที่กระทำได้ ขอเพียงมีจิตเป็นกลาง ไม่มีอคติ และบนฐานคติที่สร้างสรรค์ พึงอย่าได้ใช้สิทธิส่วนตนเกินส่วนจนเกินขอบเขตก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพผู้อื่น อย่าได้แสดงความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ประหัตประหารด้วยอาวุธ ลมปากและความเท็จต่อผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุอื่นมาสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง


อย่าให้ลูกหลานในอนาคตเหลือแค่ความทรงจำแห่งความภาคภูมิในอดีตบนซากปรักหักพังของชาติไทย ที่ผองชนรุ่นปัจจุบันได้ทำลายล้างไปอย่างตั้งใจและมิได้ตั้งใจ


สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ
โฆษกศาลยุติธรรม




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

3 นักวิชาการ" มองมุมต่างจากบทความ "อากงปลงไม่ตก" ของโฆษกศาลยุติธรรม วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:30:00 น.

matichon




สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม


สาวตรี สุขศรี


พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์


คดี "อากงส่งเอสเอ็มเอส" ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวาง กระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ได้เขียนบทความชื่อ "อากงปลงไม่ตก" ซึ่งถูกนำไปเผยแพร่ในสื่อมวลชนออนไลน์-ออฟไลน์จำนวนมาก


เช่นกันกับ "คดีอากง" บทความของโฆษกศาลยุติธรรมได้นำไปสู่ "ความเห็นต่าง" อย่างหลากหลาย มติชนออนไลน์จึงขออนุญาตนำความเห็นบางส่วนเหล่านั้น มาเผยแพร่ ณ ที่นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับที่นายสิทธิศักดิ์เขียนไว้ในบทความว่า


"ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆ ขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์"


นักวิชาการนิติราษฎร์ชี้ โฆษกศาลฯ ไม่ได้พูดถึง "ประเด็นสำคัญ" ของการตัดสินคดี


นางสาวสาวตรี สุขศรี นักวิชาการจากคณะนิติราษฎร์ แสดงทัศนะต่อประเด็นนี้ไว้ในงานเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ว่าบทความที่เขียนโดยโฆษกศาลยุติธรรม ถึงแม้จะมีการชี้แจงในเรื่องต่างๆ เช่น อากงจะถูกสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะถูกตัดสินถึงที่สุด เนื่องจากในขณะนี้คดียังอยู่ในศาลชั้นต้นและสามารถอุทธรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม จากท่าทีของบทความ กลับสะท้อนว่า ผู้เขียนบทความเองได้ปักใจเชื่อไปแล้วว่า อากงเป็นผู้กระทำความผิดจริง นอกจากนี้ ยังไม่มีการพูดถึงหลักการของภาระการพิสูจน์ความผิด ทั้งๆ ที่เป็นประเด็นที่สำคัญในการตัดสินคดีนี้


(ที่มา "Fearlessness Talk: เสวนาเพื่อก้าวข้ามความกลัว" เว็บไซต์ประชาไท)


"พิชญ์" ตั้งคำถามทำไมไม่มองว่า "เราเข้าใจไม่ตรงกัน"


ด้านนายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความเห็นไว้ในรายการเวค อัพ ไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมวอยซ์ ทีวี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ว่าจะขอวิพากษ์วิจารณ์บทความของโฆษกศาลยุติธรรม ในฐานะการแสดงความเห็นส่วนตัวของนายสิทธิศักดิ์ ไม่ใช่ความเห็นของศาล ซึ่งตามมุมมองของตนบทความดังกล่าวมีปัญหา อาทิ เมื่อมีการยืนยันว่าอากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่เหตุใดเขาจึงไม่ได้รับสิทธิประกันตัวในระหว่างการต่อสู้คดี


นอกจากนั้น อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ตั้งคำถามว่า ทำไมท่าทีของบทความนี้จึงไม่พิจารณาว่า ปรากฏการณ์การถกเถียงเกี่ยวกับคดีอากงเกิดขึ้นมาเพราะ "เราเข้าใจไม่ตรงกัน" แต่กลับระบุว่า อีกฝ่ายมิได้รู้เห็นข้อเท็จจริงอย่างถ่องแท้ ซึ่งเท่ากับเป็นการชี้ให้เห็นว่า "เราไม่เท่ากัน" นั่นเอง


(ที่มา อ.พิชญ์ เห็นต่างบทความโฆษกศาลยุติธรรม)


อาจารย์ประวัติศาสตร์ มช. ชี้บทความสะท้อน 2 ปัญหาใหญ่ในสังคมไทย


ขณะเดียวกัน นายสิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์ อาจารย์สาขาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขียนบทความ "บทสะท้อนสังคมไทย" ผ่านคำชี้แจงของโฆษกศาลยุติธรรมต่อคดีอากง โดยระบุว่า ข้อเขียนของโฆษกศาลยุติธรรม เป็นภาพสะท้อนความคิดของคนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อย ซึ่งมีปัญหาทางตรรกะวิธีคิดและความเชื่ออยู่ 2 ประเด็นใหญ่ คือ


1.ความเป็นไทยกับการแก้ปัญหาแบบไทย ๆ


นักวิชาการจำนวนมาก ได้พูดถึงความคิดความเชื่อของคนไทยว่า คนไทยมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล "ความเป็นไทย" มีความเฉพาะแตกต่าง ที่พวกฝรั่งไม่มีทางเข้าใจ อะไรที่เกิดในประเทศนี้เป็นเรื่องของไทย ฉะนั้นท่านทั้งหลาย "กรุณาอย่างยุ่ง"


ในแถลงการณ์ของท่านโฆษกศาลได้กล่าวถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีเมื่อปี พ.ศ. 2539 ท่านได้กล่าวว่ากติกาดังกล่าวสอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ซึ่งต่อมาท่านได้พัฒนาตรรกะวิธีคิด เพื่อเชื่อมโยงสู่ความคิดที่ว่า "ประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมาย ที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ"


นายสิทธิเทพระบุว่า ตนไม่ปฏิเสธเรื่องความต่างระหว่างไทยกับประเทศอื่น ๆ เพราะยอมเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่จริงแน่ ๆ ปัญหาคือวิธีคิดในเรื่องความแตกต่างดังนี้ ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะกลบเกลื่อน "ความเหมือน" กับมนุษย์คนอื่น ๆ ในโลก ซึ่งนำไปสู่การปฏิเสธ "คุณค่าในเรื่องสิทธิมนุษยชน" สากล โดยอ้างว่า "ต้องบริหารจัดการกันเองบนความต่างแบบไทย ๆ"

ทั้งนี้ คุณค่าบางอย่างมีความเป็นสากลที่มนุษย์ทั่วโลกรับรู้ได้เหมือนกัน ความรู้สึก เจ็บปวด ทรมานทางกายภาพและจิตใจ จากการถูกลิดรอนอิสรภาพด้วยการคุมขัง ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วโลกมีร่วมกัน การอ้างความเฉพาะแบบไทย ๆ โดยไม่ฟังเสียงวิจารณ์จากมนุษย์คนอื่นที่ไม่ใช่คนไทยไม่สามารถกลบเกลื่อนลบเลือนความเหมือนนี้ได้


นอกจากนี้วิธีคิดที่ปฏิเสธคุณค่า ความคิด ความรู้บางอย่าง เพราะไม่ใช่ของไทย เมื่อเอามาใช้แล้วจึงไม่เหมาะสมกับไทย เพราะประเทศไทยมีสังคมวัฒนธรรมเฉพาะของตัวก็เป็นวิธีคิดที่มีปัญหา หากคิดเช่นนั้นอะไรที่เป็นฝรั่งก็ต้องปฏิเสธให้หมด ไม่เว้นแม้แต่การแพทย์แผนตะวันตก


2. ความรู้ประวัติศาสตร์แบบมักง่าย และขี้ลืม


คนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า ความรู้ประวัติศาสตร์คือการกล่าวถึงสิ่งที่เป็นจริง "จริง ๆ" แน่นอนว่าความเข้าใจดังกล่าวย่อมไม่ผิด แต่แท้จริงหัวใจของการศึกษาประวัติศาสตร์ในโลกสมัยใหม่คือการ "ตั้งคำถาม" และคิดอย่างวิพากษ์โดยมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ปัจจุบันวงการประวัติศาสตร์เกิดการตั้งคำถามถึงความจริงว่ามีได้หลายมุมมอง เช่น ประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักที่ไม่มี "สามัญชน" อยู่ในประวัติศาสตร์ก็เริ่มถูกตั้งคำถามจากนักประวัติศาสตร์ จนนำไปสู่การศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ที่เป็น "ประวัติศาสตร์สังคม" ซึ่งเป็นการมองความจริงจากจุดยืนของคนสามัญ


การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยจึงไม่ใช่เรื่องของการท่องจำว่าใครทำอะไรที่ไหนเท่านั้น หากแต่ต้องมีทัศนะวิพากษ์ที่ทำให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อย่างสลับซับซ้อน เพราะการท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจย่อมนำมาสู่การจำถูกจำผิดได้ เช่น "ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน" ผมอยากจะเตือนความทรงจำว่าเราเสีย "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" ไปในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายใต้สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ประเทศไทยเพิ่งได้รับเอกราชทางการศาลกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2481 ด้วยความพยายามของคณะราษฎรภายหลังการปฏิวัติ โดยคณะราษฎรได้ทำการต่อสู้เพื่อให้ไทยได้รับเอกราชทางการศาลอย่างสมบูรณ์ ประจักษ์พยานหรือหลักฐานที่สะท้อนถึง "ความจริง จริง ๆ" ดังกล่าวคือ "อาคารศาลฎีกา" ที่ตั้งตระหง่านแถวสนามหลวง โดยเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในปีพ.ศ.2481 ได้บันทึกถึงเหตุผลในการก่อสร้างอาคารศาลนี้ไว้เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2481 มีความตอนหนึ่งว่า


".....บัด นี้ประเทศสยามได้เอกราชในทางศาลคืนมาโดยสมบูรณ์แล้ว จึ่งเป็นการสมควรที่จะมีศาลยุติธรรมให้เป็นสง่าผ่าเผยเยี่ยงประเทศที่เจริญ แล้วทั้งหลาย เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการที่ได้อำนาจศาลคืนมา....."



คลิกอ่านบทความ "อากงปลงไม่ตก" ได้ที่นี่





__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์@ตอบโจทย์ "คดีอากง


ตอนที่1 12 ธันวาคม 2554

http://youtu.be/DiBJQK8yS04
wma http://www.mediafire.com/?ow35tji87697ggu




อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มาตรา112@Intelligence 12-12-2011


http://www.youtube.com/watch?v=8vkBoaLyBVA

mp3 http://www.mediafire.com/?24t5b2vmxui1upv

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

คลิปคุณจักรภพ...เมื่อ 15/12 / 54 mp3..
1. http://www.mediafire.com/?0jf70w860rah788

2. http://www.4shared.com/audio/5xctGEgz/2011-12-15JP.html


Seeds of Democracy ประจำวันที่16-12-54
หากนี่คือสามชั่วโมงสุดท้าย ที่เพียงดินและพิธีกรร่วมจะพูดกับคนไทย... จะบอกอะไรบ้าง?

http://www.mediafire.com/?q5z9kz4ci83mozt
http://www.2shared.com/audio/oD9N0AYS/Seeds_of_Democracy_16-12-54. htmlhttp://www.4shared.com/audio/jAwImDje/Seeds_of_Democracy_16-12-54.html

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=0uZnqWukdn4

ພາສາລາວຂອງຄົນເຊື້ອສາຍລາວກ່ວາ40­ລ້ານຄົນໃນສຍາມ ປທ ເປັນພາສາທີ່ຕ້ອງຫ້າມ ອັກສອນລາວຂອງຄົນທີ່ຫລາຍກ່ວາເຄີ່­ງຂອງຄົນທັງ ປທ ຈະພົບເຫັນໄດ້ ແຕ່ທີ່ ຫ້ນາສະຖານທູດລາວແດງ ທີ່ຖນົນສາທອນໄຕ້ ກທມ ເທົ້ານັ້ນເອງ ໃນຄລິບນີ້ ສັງເກດໄດ້ ພາສາທີ່ຄົນສັມພາດ ກະບໍ່ຍອມເວົ້າຫລືຖາມເປັນພາສາ ລ າ ວ ຂອງ ເຮົາ ເລີຍ ແປວ່າ ເຂົາຍັງຊຸກຊົ້ນປົກປິດ ບໍ່ຢາກໃຫ້ ພວກເຮົາຍົກພາສາແມ່ຂອງພວກເຮົາຄືພ­າສາລາວເຮົານັ້ນເອງ ຂື້ນມາທ້າທາຍພາສາເຈົ້າພໍ່ອານານີ­ຄົມທອ້ງຖີ່ນນັ້ນລະຫ້ນາເສັຍໄຈທີ່­ສຸດ ຍຸກນີ້ແມ່ນແລ້ວຕ້ອງນັບຖືຄວາມເປັ­ນມະນຸດຊື້ງກັນແລະກັນຫລາຍກ່ວາຈະຂ­ົ່ມເຫັງແລະດູຖູກແບບບ້າໆ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ລາວ ອ້ອນວອນ ຂໍເງິນຊ່ອຍເຫຼືອ 1 ຕື້ ກີບ ນໍາ NGOs
ລາວ ອ້ອນວອນ ຂໍເງິນຊ່ອຍເຫຼືອ 1 ຕື້ ກີບ ນໍາ NGOs
ລາວ ອ້ອນວອນ ຂໍເງິນຊ່ອຍເຫຼືອ 1 ຕື້ ກີບ ນໍາ NGOs



Laos asks for 1.12 trillion kip for post-flood infrastructure restoration

By Soulaphone Kanyaphim

(KPL) Government officials representing Ministries of Planning and Investment, Foreign Affairs and Labour and Social Welfare met representatives of NGOs, international organisations, and international community expressing the government needs as much as 1.12 trillion kip (approx USD141 million) for the restoration of basic infrastructure destroyed and damaged in flooding caused by two typhoons Haima and Nockten.

The meeting saw the presence of Minister of Planning and Investment, Mr. Somdy Douangdy.

Typhoons Haima on 24-25 June and Noktan on 30 July-1 August affected 82,493 families in 12 provinces nationwide.

The Haima hit the northern and central provinces Sayaboury, Xiengkhouang, Vientiane and Bolikhamsay. Nock-Ten hit central and southern provinces Vientiane,

Bolikhamxay, Khammouane, Savannakhet, and Champassak.

They brought heavy rains, which had caused the rise of water levels in many rivers including Mekong. As a result, many provinces

had been significantly affected by floods and landslides. The worst flooding in decades swept away houses and rice barns and damaged thousands of hectares of farmland, livestock, many schools, hospitals, roads, bridges, water supply systems, electricity networks and other infrastructure in those provinces.

Since June 24, 2011, flooding has killed at least 27 people, the total cost of damage is huge and thousands of people affected.

Vientiane province is the most hard-hit province. The damage cost of the agriculture sector in the province is estimated at 100 billion kip. Meanwhile five of nine districts in Xiengkhouang have been affected by the storm. Houses, roads, electricity and telecommunication systems have been heavily damaged.





36ປິກັບການອ່ອນເພັຍ ບໍ່ເປັນຕົນໂຕຂອງຕົນເອງ
ລຸກຂື້ນລົ້ມປັມ ສົມຄວນຜູກຄໍຕາຍໄດ້ແລ້ວ
ປານນັ້ນ ຣມຕ ແຜນຜັງແລະການລົງທືນ ດຣ ຄຳລຽງພົນເສນາ
ເສືອກ ຫລອກໂລກອິກວ່າ ປິ 2012 ເສຖກິດພວກເຂົາຈະຍອມໂຕ8 % ອິກແລ້ວ

ມີຄຳຕອບທີ່

www.siengserixonlao.com

ຖາກຖາງໄດ້ເຖິງໄຈທີ່ສຸດ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1324040317&grpid=03&catid=&subcatid=


UNODC ชี้พม่าและลาวปลูกฝิ่นรายใหญ่ของโลกอันดับ 2และ3 ยกย่องไทยลดการผลิตต่อเนื่อง

วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 22:57:17 น.

Share






เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC ) ระบุว่าพื้นที่ ที่ใช้ในการปลูกฝิ่นในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นราว 16% ในปีนี้ โดยเฉพาะพม่าซึ่งเป็นประเทศผู้ปลูกฝิ่นรายใหญ่อันดับ 2 รองจากอัฟกานิสถาน มีการปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนราว 96% ของปริมาณการปลูกฝิ่นที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปีนี้ คาดว่าฝิ่นที่ผลิตในพม่าตลอดปี พ.ศ 2554 มีปริมาณราว 610 ตันหรือประมาณ 10% ของปริมาณฝิ่นทั่วโลก ขณะที่ลาวผลิตฝิ่นในปีนี้ทั้งหมด 25 ตัน




Gary Lewis ผู้แทนของ UNODC ประจำเอเซีย-แปซิฟิก กล่าวต่อสมาคมผู้สื่อข่าวต่างชาติในประเทศไทยในโอกาสเผยแพร่รายงานสำรวจฉบับ นี้ว่า ฝิ่นที่ผลิตในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ปีนี้มีมูลค่ารวมประมาณ 319 ล้านดอลล่าร์ ส่วนใหญ่ปลูกในแถบรัฐฉานของพม่า โดยสาเหตุที่ทำให้การปลูกฝิ่นในรัฐฉานมีปริมาณเพิ่มขึ้นคือความไร้เสถียรภาพ ด้านอาหาร ความยากจนและความขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งการที่ฝิ่นมีราคาแพงขึ้นทำให้เกษตรกรจำนวนมากหันไปปลูกฝิ่น







UNODC ระบุว่าปัจจุบันราคาฝิ่นในพม่าเพิ่มขึ้นจากระดับกิโลกรัมละ 300 ดอลล่าร์เมื่อปีที่แล้วเป็นกิโลกรัมละ 450 ดอลล่าร์ ประกอบกับเงินจ๊าดมีค่าลดลงยิ่งทำให้ฝิ่นขายได้ราคาสูงขึ้นโดยเปรียบเทียบ ขณะที่ราคาฝิ่นในลาวและประเทศไทยเพิ่มขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 1,400 – 1,600 ดอลล่าร์ ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกฝิ่นรวมถึงคนงานที่ทำงานในไร่ฝิ่นต่างมีรายได้เฉลี่ย สูงกว่าคนงานหรือเกษตรกรผู้ปลูกพืชชนิดอื่นๆหลายเท่า







Jason Eligh ผู้จัดการฝ่ายพม่าของ UNODC ชี้ว่าด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจดังกล่าว ชาวบ้านจำนวนมากที่ประสบปัญหาเงินๆทองๆจึงหันไปปลูกฝิ่นหรือไปรับจ้างทำงาน ในไร่ฝิ่นแทนอาชีพอื่น เจ้าหน้าที่ของ UNODC ยังบอกด้วยว่าจำเป็นต้องมีเงินทุนเพิ่มขึ้นจากต่างชาติเพื่อนำมาใช้ใน โครงการใหม่ๆเพื่อลดการปลูกฝิ่นในลาวและพม่า เช่นโครงการสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นๆซึ่งเคยใช้ได้ผลมา แล้วในอดีต







การปลูกฝิ่นในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ 3 ประเทศคือพม่า ลาวและไทย ลดลงไปมากในช่วงระหว่างปี พ.ศ 2541 ถึง 2549 หลังจากรัฐบาลปราบปรามอย่างหนักพร้อมกับนำโครงการปลูกพืชทดแทนชนิดอื่นมาใช้ แต่ปริมาณการปลูกฝิ่นในพม่าและลาวกลับเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา





UNODC ยังได้กล่าวยกย่องประเทศไทยที่เป็นประเทศเดียวในแถบนี้ที่ยังสามารถลดปริมาณ การปลูกฝิ่นลงได้อย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่ปลูกฝิ่นในประเทศไทยปีนี้ลดลงราว 25% และปริมาณผลผลิตฝิ่นลดลงเหลือเพียง 3 ตันเท่านั้น





( เรื่อง Daniel Schearf / ทรงพจน์ สุภาผล | กรุงเทพฯ/กรุงวอชิงตัน / voa thai )

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສະບາຍດີສິດທິພອນ


ຈັ່ງແມ່ນເຈົ້າຊອກວຽກໃຫ້ເນາະ ສິໄປໃສບໍໄດ້ ອາຈານຈັນລີ ມີຊື່ວ່າ พระครูอุทัยธรรมโสภิต เจ้าอาวาสวัด สัมมาชัญญาวาส เขตคลองสามวา กทม. อดีตนายทหาร ฝ่ายขวาของลาว ถูกคนร้าย บุกสังหารจนมรณภาพเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 47(18/10/2004)


ໄຜໄປລີ້ຢູ່ໄທນັ້ນຕາຍງ່າຍ ບໍ່ວ່າຈະແມ່ນຝ່າຍໃດ ໂດຍສະເພາະຜູ້ມັກດ່າໃຫ້ຫມູ່ເຈັບໃຈ ຝຣັ່ງ ກໍຊ່ອຍບໍໄດ້

ເບີ່ງໄດ້ທີ່ນີ້ http://tiny.cc/mahaChanli




1. นายทองใบ ซอนมณี ถูกอุ้มฆ่าทำลายศพ เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 46( 20/10/2003) ในพื้นที่ จ.นครพนม

2. นายณรงค์ สุวรรณบุปผา ถูกยิงและแทงจน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 46(3/11/2003) ที่ อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี

3. นายชัย กันนะดอน ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 47(18/9/2004) ที่ จ.หนองคาย

4. พระครูอุทัยธรรมโสภิต เจ้าอาวาสวัด สัมมาชัญญาวาส เขตคลองสามวา กทม. อดีตนายทหาร ฝ่ายขวาของลาว ถูกคนร้าย บุกสังหารจนมรณภาพเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 47(18/10/2004)

5. นายดำริ สีพันธ์ ถูกยิงเสียชีวิต ส่วนภรรยา บาดเจ็บ เหตุเกิดวันที่ 23 พ.ย. 47 (23/11/2004)ที่ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย

6. นายบุญมี นาระเนตร ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 ม.ค. 48(2/1/2005) ที่ ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี

7. นายเจมส์ เซ้ง ชาวลาว สัญชาติอเมริกัน

8. นายบัติ ใจเที่ยง

9. นายสินกัน ปราจอหอ

10. และนายรัตน์ พรหมจันทร์ ถูกอุ้มฆ่าหมู่ รวม 4 ศพ เมื่อ วันที่ 26 ม.ค. 48(26/1/2005) ที่ จ.หนองคาย

11. นายนำชัย

12. และนางรัชดา ศรีรัตน์ ถูกฆ่า เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 48(10/5/2005) ใน ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลราชธานี

13. นายมงคล อ่อนประทุม ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 48(19/7/2005) ที่ ต.สระไคร้ อ.เมืองหนองคาย

14. นายตัน ก๊วนแข็ง ถูกยิง เสียชีวิตวันที่ 5 ส.ค. 48(5/8/2005) ในห้องพักหัวลายอพาร์ตเมนต์ อ.เมืองอุบลราชธานี

15. นายคำหยาด วรรณสุธะ ถูกยิงตาย เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 48(28/8/2005) ที่ ต.พลูหลวง จ.เลย

16. นายชูชาติ ฉิมฤทธิ์ ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 48(26/10/2005) ที่ ต.ขามใหญ่ อ.เมือง อุบลราชธานี

17. นายไซซอง ชาวลาวสัญชาติอเมริกันถูกยิงเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 48(17/11/2005) ที่ จ.อุบลราชธานี

18. นายชิดชัย ธัญวิกุล ถูกฆ่าวันที่ 30 พ.ย. 48(30/11/2005) ที่ อ.เมืองมุกดาหาร

19. นายแก่นตา ศรีสวาสดิ์ ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 48(16/12/2005) ที่ จ.มุกดาหาร

20. เชื้อพระวงศ์ลาวสายเวียงจันทน์ ในนาม สมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ เศรษฐาธิราช
ที่สี่ จากเมืองแฟร์วิลล์ ของรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา
21 และเจ้าหยิงอุไรวรรณ เศรษฐาธิราช ถือสัญชาติอเมริกัน ถูกยิง เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 49(18/1/2006) ที่ศาลากู่แก้ว จ.หนองคาย

22. ร.อ.สุกันต์

23. และนางจันทร์ เตชะคำภู ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อ วันที่ 11 พ.ค. 49(11/5/2006)ที่ อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี หลังเกิดเหตุ ทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ได้จับกุมนายอาทิตย์ หรือลม กลิ่นจันทร์ อายุ 22 ปี และนายสุวัฒน์ สุทธัง อายุ 28 ปี เป็นผู้ต้องหา รับสารภาพก่อคดีสังหารทั้ง 17 คดีรวม 22 ศพ แลกกับค่าจ้างศพละ 1 แสนบาท โดยทั้งคู่ถูกจับได้เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 49

24 แต่หลังจากนั้นในวันที่ 8 ส.ค. 49(8/8/2006) ก็มีเหตุฆ่าสมาชิก แนวร่วมขบวนการต่อต้านลาวเสียชีวิตอีก 1 ราย คือ ร.อ. คำบอน ทุยวงศา อายุ 56 ปี อดีตทหารลาวฝ่ายขวา ถูก คนร้ายใช้ปืนเอ็ม 16 ถล่มยิงเสียชีวิตคาบ้านเลขที่ 172 หมู่ 8 บ้านมันปลา ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี

25. ทิ้งห่างเพียงแค่ 5 เดือน ก็เกิดเหตุมือปืนประกบยิงนาย สุกัน วิชาเทศ

26. และนายสมหวัง แก้วมณีวงศ์ ชาวลาว สัญชาติ อเมริกัน ซึ่งเป็นแนวร่วม ขตล.กลางสถานีขนส่ง จ.อุบลราชธานี เมื่อช่วงเย็น วันที่ 13 ธ.ค.(13/12/2006) ทำให้คดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการ ต่อต้านลาวเพิ่มเป็น 19 คดี มียอดผู้เสียชีวิตไปแล้ว 26 ศพ และ อยังมีอีก40คน ใน แบลกลีสต์

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ลักษณะสำคัญของลัทธิเผด็จการ
เนื่องจากแนวความคิดตลอดจนความหมายของเผด็จการยังมีข้อโต้แย้งกันมาก แต่อย่างไรก็ตามเผด็จการไม่ว่าในลักษณะใด ๆ จะมีสิ่งที่ร่วมกันอยู่ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้



ประการที่หนึ่ง

ลัทธิเผด็จการไม่เห็นความสำคัญของความเสมอภาคหรือไม่เชื่อว่าบุคคลมีความ เท่าเทียมกัน ไม่ว่าในด้านชาติกำเนิด การศึกษาและฐานะทางสังคม ด้วยเหตุนี้ลัทธิเผด็จการจึงแบ่งคนในสังคมออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มผู้นำ ซึ่งหมายถึงบุคคลที่มีชาติกำเนิน การศึกษา และฐานะทางสังคมสูง พวกนี้เป็นพวกที่มีความสามารถในการที่จะค้นพบความจริง ความถูกต้อง และสร้างสรรค์คุณธรรมความดีให้กับสังคมได้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งไร้ความสามารถและไม่อาจที่จะปกครองตนเองได้มักจะดำเนินการใด ๆ ไปโดยใช้อารมณ์เป็นเกณฑ์ ด้วยเหตุนี้ลัทธิเผด็จการจึงเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่จึงต้องเชื่อฟังผู้นำ

ประการที่สอง ลัทธิเผด็จการเป็นลัทธิการเมืองที่ไม่ยอมรับว่าประชาชนทั่ว ๆ ไปเป็นผู้มีเหตุผล ลัทธินี้เชื่อว่าเหตุผลของประชาชนทั่ว ๆ ไป ไม่สามารถที่จะนำมาแก้ปัญหาของสังคมได้ เพราะแต่ละคนต่างก็ยึดตนเองเป็นหลัก การใช้เหตุผลเพื่อยุติปัญหาจะนำมาซึ่งความโกลาหล ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม ดังนั้นลัทธินี้จึงสรุปว่าประชาชนทั่ว ๆ ไปเป็นผู้ที่ไร้เหตุผล ผู้ปกครองจึงไม่จำเป็นต้องไปให้เหตุผลใด ๆ และประชาชนโดยทั่วไปต้องมีผู้ปกครองเป็นผู้นำให้ความคุ้มครองแก่พวกเขา ซึ่งผู้นำนี้เองที่จะทำให้ประชาชนมีความก้าวหน้าปลอดภัยและยิ่งใหญ่ได้ ส่วนประชาชนนั้นมีหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือ เชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำโดยถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องกระทำ

ประการที่สาม

ลัทธิเผด็จการให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนบุคคลน้อยกว่าอำนาจรัฐ ประเด็นนี้ เราอาจจะเข้าใจได้แจ่มชัดขึ้น ถ้าเราพิจารณาคำกล่าวของมุสโสลินี ผู้นำของเผด็จการฟาสซิสต์ตอนหนึ่งที่ว่า รัฐเป็นนายและเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของชีวิตและสังคม นั่นคือ ลัทธิเผด็จการจะยึดมั่นว่ารัฐเป็นสิ่งสูงสุดที่ประชาชนจะต้องสักการบูชา และอุทิศตนเองเพื่อความยิ่งใหญ่และความเจริญก้าวหน้าของรัฐ ประชาชนจะต้องมีภาระที่จะรับใช้รัฐ ฉะนั้นสิ่งใดที่รัฐกำหนดขึ้นทุกคนที่อยู่ในรัฐก็จะต้องปฏิบัติตามโดยไม่อาจ หลีกเหลี่ยงได้นั่นคือ รบอบเผด็จการจะเน้นที่อำนาจของรัฐมากกว่าเสรีภาพของประชาชน

ประการที่สี่

ลัทธิเผด็จการไม่อดทนต่อความคิดที่แตกต่างกัน อันจะได้มาซึ่งความเห็นพ้อง หรือการเหนี่ยวนำให้ตรงแนวความคิดที่พวกเขายึดถือ คือ เรื่องอำนาจสูงสุดของรัฐและอำนาจเด็ดขาดของผู้นำที่เป็นตัวแทนของรัฐ ดังนั้นกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง สมาคมอาชีพ สหพันธ์-กรรมกรจะต้องเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนผู้นำจึงจะตั้งอยู่ได้ พวกผู้นำลัทธิเผด็จการจะไม่ยอมให้มีฝ่ายอื่นใดเข้ามามีส่วนในการใช้อำนาจและ ด้วยความกลัวว่าจะมีกลุ่มทางการเมืองอื่นมาแย่งชิงอำนาจ บรรดาผู้นำเหล่านี้จะพยายามค้นหาและทำลายกลุ่มเหล่านั้นเสียก่อนที่จะเติบโต ขึ้นมาและทำลายพวกตนได.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.vientianemai.net/teen/khao/1/5254


ຄອບຄົວແກ້ວບຸນພັນ ມອບເຄືອງຊ່ວຍເຫຼືອຄົນເຈັບຜູ້ທຸກຍາກ
ວັນທີ 16 ທັນວາ 2011 - ເວລາ 15:08:04 ສົ່ງຂ່າວນີ້ໃຫ້ເພື່ອນ ພິມຂ່າວນີ້ Share 0
Divider
... ຄອບຄົວແກ້ວບຸນພັນ ມອບເຄືອງຊ່ວຍເຫຼືອຄົນເຈັບຜູ້ທຸກຍາກ

ເນື່ອງໃນໂອ­ກາດວັນ­ຊາດ ທີ 2 ທັນ­ວາ ຄົບ­ຮອບ 36 ປີ ແລະ ວັນຄ້າຍວັນເກີດຂອງປະ­ທານ ໄກ­ສອນ ພົມ­ວິ­ຫານ ຄົບ­ຮອບ 91 ປີ ແລະ ເພື່ອເປັນການແບ່ງເບົາພາ­ລະຂອງທາງໂຮງ­ໝໍ ໃນການຊ່ວຍ­ເຫຼືອຄົນເຈັບຜູ້ທຸກຍາກທີ່ມາປິ່ນ­ປົວຢູ່ໂຮງ­ໝໍ ແລະ ເພື່ອເປັນການປະ­ກອບ­ສ່ວນຊຸກ­ຍູ້ບັນ­ດາແພດໝໍ ທີ່ປະ­ຕິ­ບັດໜ້າ­ທີ່ຮັບໃຊ້ປະ­ຊາ­ຊົນຢູ່ພາຍໃນໂຮງ­ໝໍຕ່າງໆ.



ໃນວັນທີ 10-11 ທັນ­ວາ 2011 ຄອບ­ຄົວແກ້ວບຸນພັນ ນຳໂດຍທ່ານ ດຣ.ນາງ ອິນລາວັນ ແກ້ວບຸນພັນ ລັດ­ຖະ­ມົນ­ຕີຊ່ວຍວ່າ­ການກະ­ຊວງສາ­ທາ­ລະ­ນະສຸກ ທ່ານນາງ ແອ ແກ້ວບຸນພັນ ຜູ້­ອຳ­ນວຍ­ການບໍ­ລິ­ສັດໂຊກດີ ໂອ­ສົດ ພ້ອມດ້ວຍລູກຫຼານໄດ້ມີນ້ຳ­ໃຈໃສສັດ­ທາ ມອບເຄື່ອງຊ່ວຍ­ເຫຼືອໃຫ້ແກ່ຄົນເຈັບຜູ້ທຸກຍາກທີ່ມາຮັບການ ປິ່ນ­ປົວສຸ­ຂະ­ພາບ ຢູ່ໃນໂຮງ­ໝໍ 4 ແຫ່ງຄື: ໂຮງ­ໝໍເຊດຖາທິຣາດ ໂຮງໝໍໍມິດ­ຕະ­ພາບ (ໂຮງ­ໝໍ 150 ຕຽງ) ໂຮງ­ໝໍມະ­ໂຫ­ສົດ ໂຮງ­ໝໍແມ່ ແລະ ເດັກ.



ເຄື່ອງຊ່ວຍ­ເຫຼືອທີ່ທາງຄອບ­ຄົວແກ້ວບຸນພັນ ນຳມາມອບໃຫ້ໂຮງ­ໝໍຄັ້ງນີ້ ມີເຄື່ອງ­ໃຊ້ສອຍຈຳ­ນວນ 240 ຊຸດ ແຕ່ລະຊຸດປະ­ກອບມີຜ້າ­ຫົ່ມ ສະ­ບູ ຢາ­ຖູ­ແຂ້ວ ແຟບ ແລະ ເສື້ອ ມູນຄ່າ 28,8 ລ້ານກີບ ໂດຍມອບໃຫ້ໂຮງ­ໝໍລະ 60 ຊຸດ ເພື່ອມອບໃຫ້ຄົນເຈັບຜູ້ທຸກຍາກທີ່ມາຮັບການປິ່ນ­ປົວຢູ່ໂຮງ­ໝໍ 4 ແຫ່ງ ພ້ອມນີ້ທາງຄອບ­ຄົວແກ້ວບຸນພັນ ຍັງໄດ້ມອບຄອມພິວເຕີຕັ້ງໂຕະ ຈຳ­ນວນ 4 ຊຸດ ໃຫ້ແກ່ໂຮງ­ໝໍ 4 ແຫ່ງ ມູນຄ່າ 24 ລ້ານກີບ ລວມມູນຄ່າການການຊ່ວຍ­ເຫຼືອຄັ້ງນີ້ ທັງໝົດ 52,8 ລ້ານກີບ ໂດຍການອຸ­ປະ­ຖຳຂອງບໍ­ລິ­ສັດໂຊກດີໂອ­ສົດ.
.....................................
ລະບົບເຄືອຍາດ ຫລື nepotismທີ່ຊັ່ວຊ້າທີ່ສຸດ ໃນຍຸກພວກຫມາໂຈນລາວແດງຄອງເມືອງ36ປິ
ລະບົບເຄືອຍາດ ຫລື nepotismທີ່ຊັ່ວຊ້າທີ່ສຸດ ໃນຍຸກພວກຫມາໂຈນລາວແດງຄອງເມືອງ36ປິ
ລະບົບເຄືອຍາດ ຫລື nepotismທີ່ຊັ່ວຊ້າທີ່ສຸດ ໃນຍຸກພວກຫມາໂຈນລາວແດງຄອງເມືອງ36ປິ
ລະບົບເຄືອຍາດ ຫລື nepotismທີ່ຊັ່ວຊ້າທີ່ສຸດ ໃນຍຸກພວກຫມາໂຈນລາວແດງຄອງເມືອງ36ປິ
.....................................

ດຣ ເອກສຫ່າງ ວົງວີຈິດ ຣມຕ ສາທາຣະນະສຸກ
ບັກດາວອນ ວົງວິຈິດ ສສ ສາຣະວັນ ປະທານ ກັມມະການກ່ຽວກັບກົດຫມາຍ

ບັກສັນຕີພາບ ພົມວິຫານ ຈາກ ອະທີບໍດິ ພາສີ ຖືກ ພັກໂຄດແມ່ແສນຊັ່ວມັນລາກຂື້ນເປັນ ຣມຕຊ່ວຍການຄັງ ບ່ອນລູກບັກແກວຫ້ນາແຫ້ລສົບເວີ ອິ່ວຽງທອງ 860ພັນດອນຢູ່ກ່ອນແລ້ວ
ເຊັ່ນດຽວກັບນ້ອງຊາຍມັນ ບັກພົນຕຣີ ສັນຍາລັກ(ອາຍຸພຽງ36ປິ)ຟຕ່ສູ່ຕຳແຫ່ນງ ຣມຕກະຊວງປ້ອງກັນ ປທ ແລ້ວ
ບັກໄຊສົມພອນ ຮອງ ປທ ສະພາ
ບັກທອງສຫວັນພົວວີຫິ ອະດີດທູດໂຈນລາວແດງທີ່ໂມສກຸ

ບັກສະຫມານວີຍສາເກດ ຣມຕ ອຸສຫະກັມແລະການຄ້າ
ບັກດວງສຫວັດສຸພານຸວົງ ຣມຕ ປະຈຳສຳນັກງານ ນຍ

ອີ່ ເຂັມຄຳພົນເສນາ ຣມຕ " "
ອີ່ເຂັມມະນີ ຣມຕຊ່ວຍ ການຄ້າ ແລະ ອຸສຫາກັມ
ບັກສົມຫມາດ ພົນເສນາ ຣມຕ ໂຍທາແລະຂົນສົ່ງ
ດຣ ພອນເທບພົນເສນາ ສສ ເຊໂດນ
ອີ່ມະໂນຣົມພົນເສນາ ທີ່ຜືກສາທູດລາວແດງ ໃນ ສະເວເດນ

ບັກສອນໄຊ860ລ້ານດອນ ເຈົ້າແຂວງຈີກ້ໂກເມືອງປາກເຊ
ອີ່ວຽງທອງ ຣມຕຊ່ວຍການຄັງ

ອີ່ວຽງສຫວັນ ພູນສີປະເສິດ ທູດລາວແດງ ຢູ່ສີງກະໂປ
ອິ່ ມະໄລທອງ ສາກົນນີຍົມ(ຫລານບັກປະປທຈູມມາລິ) ທູດໂຈນ ທີ່ ຝີລິບປິນ ຜົວອີ່ຫ່ານິ້ບັກສຸທັມເປັນທູດຢູ່ແບນຊິກ

ບັກ ນາຍພົນຄຳອ້ວນຜຸຜາ ຣມຕ ປະຈຳສຳນັກງານ ນຍ
ບັກພົວສະຫວັດບຸບຜາ ຣມຕ ຊ່ວຍ ຕ່າງ ປທ
ບັກທ່ຽງບຸຜາ ທູດໂຈນ ທີ່ ໂມສກູ ແທນລູກໂຈນ ໄກສອນ

ຍັງມິອິກຂຽນ 36ປິຂຽນ ກະບໍ່ຫົມດ ລາວລີງທັງຫລາຍ ພວກສຸ ສະນັບສະນູນໂຈນບ້ານໂຈນເມືອງອິກຕໍ່ໄປເດີ




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.kplnet.net/lao/news/dnl 0.htm

ລັດຖະບານ ພ້ອມ​​ອຳນວຍ​ຄວາມ​ ສະດວກ ​ແກ່​ນັກ​ລົງທຶນ​ ຫວຽດນາມ

*(ຂປລ) ທ່ານ ທອງ​ສິງ ທຳ​ມະ​ວົງ, ນາຍົກລັດຖະມົນຕີ​ແຫ່ງ ສປປ ລາວ ຕ້ອນຮັບ​ການ​ເຂົ້າ​ຢ້ຽມ​ຂ່ຳນັບ ຂອງ ທ່ານ ​ເຈິ​ນ ບັກ ຮ່າ, ປະທານ​ສະມາຄົມ​ນັກ​ລົງທຶນ ຫວຽດນາມ ​ຢູ່​ລາວ ພ້ອມ​ຄະນະ​, ໃນ​ວັນ​ທີ 15 ທັນວາ 2011 ທີ່​ຫ້ອງ​ວ່າການ​ລັດຖະບານ, ​ເພື່ອລາຍ​ງານ​ໃຫ້​ທ່ານ​ນາຍົກ​ ໄດ້​ຮັບ​ຊາບ​ກ່ຽວ​ກັບ​ ການຈັດຕັ້ງປະ ຕິບັດ​ ບັນດາ​ໂຄງການ​ຕ່າງໆ​ ໃນ​ໄລຍະ​ຜ່ານ​ມາ ​ແລະ ​ແຜນການ​ໃນຕໍ່ໜ້າ. ພ້ອມ​ທັງ​ສະ​ເໜີ​ຂໍ​ທິດ​ຊີ້ນຳ​ຈາກ​ທ່ານ​ນາຍົກລັດຖະມົນຕີ ​ເພື່ອ​ເປັນ​ທິດ​ທາງ​ ໃນ​ການຈັດຕັ້ງປະຕິບັດ​ໂຄງການ​ລົງທຶນ​ຕ່າງໆ​ໃນ ສປປ ລາວ.

ທ່ານ​ນາຍົກລັດຖະມົນຕີ ​ໄດ້​ສະ​ແດງ​ຄວາມ​ຍິນ​ດີ​ຕ້ອນຮັບ​ຄະນະ​ຜູ້​ແທນ​ສະມາຄົມ​ນັກ​ລົງທຶນ ​ຫວຽດ ນາມ ພ້ອມ​ທັງ​ຕີ​ລາຄາ​ສູງ​ຕໍ່ ທ່ານ ​ເຈີ​ນ ບັກ ຮ່າ ທີ່​ໄດ້​ມາ​ ລົງທຶນ​ຢູ່ ສປປ ລາວ, ຊຶ່ງ​ເປັນ​ການ​ປະກອບສ່ວນ​ສຳຄັນ​ເຂົ້າ​ໃນ​ການ ​ເສີມ​ຂະຫຍາຍ​ສາຍພົວພັນ​ມິດຕະພາບ, ຄວາມ​ສາມັກຄີ​ພິ​ເສດ ​ແລະ ການ​ຮ່ວມ​ມືຮອບ ດ້ານ ລະ​ຫວ່າງ ສອງ​ພັກ, ສອງ​ລັດ ​ແລະ ປະຊາຊົນ​ສອງ​ຊາດ ລາວ-ຫວຽດນາມ ​ໃຫ້​ກ້າ​ວໜ້າຂະຫຍາຍຕົວ​ຢ່າງ​ບໍ່​ຢຸ​ດຢັ້ງ. ພ້ອມ​ກັນນີ້ ຍັງ​ເປັນ​ການ ​ປະກອບສ່ວນ​ເຂົ້າ​ໃນ​ການ​ພັດທະນາ​ເສດຖະກິດ-ສັງ ຄົມ​ ຂອງ​ລາວ ​ໃຫ້​ກ້າວໜ້າ​ຂະຫຍາຍຕົວ​ຍິ່ງ​ຂຶ້ນ.

ທ່ານ ​ເຈິ​ນ ບັກ ​ຮ່າ ​ໄດ້​ສະ​ແດງ​ຄວາມ​ຂອບ​ອົກ​ຂອບ​ໃຈ​ຕໍ່​ການ​ຕ້ອນຮັບ​ອັນ​ອົບ​ອຸ່ນ ຂອງ ທ່ານ ນາຍົກ ລັດຖະມົນຕີ, ພ້ອມ​ທັງ​ສະ​ແດງ​ຄວາມ​ຢືນຢັນ​ວ່າ ຈະ​ສຸມ​ ທຸກ​ຄວາມ​ພະຍາຍາມ​ເຂົ້າ​ໃນ​ການ​ປະກອບສ່ວນ​ພັດທະ ນາ​ເສດຖະກິດ​ຂອງ​ລາວ ​ແລະ ຈະ​ປຸກລະດົມ​ຂົນຂວາຍ​ໃຫ້​ບັນດາ​ນັກ​ລົງທຶນຫວຽດນາມ​ເຂົ້າ​ມາ​ລົງທຶນ ຢູ່ ສປປ ລາວ ​ໃຫ້​ນັມມື້ຫລາຍ​ຂຶ້ນ./ .

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຜ່ານມາແລ້ວກ່ວາ2ຊັ່ວໂມງ
ມິຫຍັງເກິດຂື້ນທີ່ເດິ່ນພຣະທາດຫລວງ

ມິດ ມິດຄືພຣະເອກຊັບບັນຊາ

ແມ່ນບໍ?

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ลัทธิคอมมิวนิสต์ (อังกฤษ: Communism) คือระบอบแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการปกครองสังคมและการเคลื่อนไหวทางการเมือง ภายใต้ข้อกำหนดของความเป็นเจ้าของร่วมกัน และการมีรายได้ที่ขึ้นอยู่กับการผลิต การเคลื่อนไหวทางการเมืองในแง่นี้หมายถึงระบอบคอมมิวนิสต์มุ่งจุดประสงค์ให้ ประชาชนทุกคนมีฐานะทางสังคมเท่าเทียมกัน ระบอบคอมมิวนิสต์ถือว่าเป็นระบอบมหาอำนาจของการเมืองโลกในช่วงต้นคริสตศ์ ตวรรษที่ 20 ในขณะที่ในคอมมิวนิสต์สมัยใหม่มักจะยึดตามคำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) ของคาร์ล มาร์กซและฟริดดิช เองเกิลส ที่ว่าด้วยการแทนที่ระบบวัตถุแบบทุนนิยมที่เน้นกำไรเป็นหลัก ด้วยระบอบสังคมคอมมิวนิสต์ที่ผลผลิตโดยรวมที่ได้มาจะกลายเป็นของส่วนรวม ลัทธิมาร์กซกล่าวไว้ว่ากระบวนการดังกล่าวสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ โดยการปฏิวัติรัฐประหารต่อบรรดานายทุนและชนชั้นสูง จากนั้นจึงเปลี่ยนถ่ายการปกครองไปสู่สถานะของการปกครองระบอบสังคมนิยม การกระทำดังกล่าวเรียกกว่าอำนาจเผด็จการของชนชั้นแรงงาน (นิยามโดยคาร์ล มาร์กซที่เรียกว่า "Dictatorship of the proletariat") ระบอบคอมมิวนิสต์ที่แท้จริงที่ไม่มีรัฐบาลบริหารยังไม่เคยเกิดขึ้น และยังเป็นไปได้ในแง่ทฤษฎีเท่านั้น เพราะความหมายที่แท้จริงของคำว่า 'ระบอบคอมมิวนิสต์' ตามทฤษฎีของมาร์กซคือ รัฐที่ปกครองโดยตลอดกาล หรือ รัฐบาลแนวสังคมนิยม คำว่าคอมมิวนิสต์ในปัจจุบันเป็นได้ทั้งระบอบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ และทฤษฎีสังคมของลัทธิมาร์กซ รวมถึงเงื่อนไขของพรรคคอมมิวนิสต์ ยังมีกลุ่มชนอื่นที่มีแนวความคิดของมาร์กซ อาทิอนาธิปัตย์หลายๆ กลุ่มที่เรียกตนเองว่าเป็นคอมมิวนิสต์แต่มีวิธีการที่ต่างจากมาร์กซในความ พยายามที่จะสร้างสังคมไร้ชนชั้น

แนวคิดคอมมิวนิสต์ในยุคเริ่มแรก
ตราสัญลักษณ์คอมมิวนิสต์
ความ คิดที่มีรากฐานไปสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์มีมานานมากแล้วในโลกตะวันตก นานกว่าที่มาร์กซ์และเอนเกิลส์จะเกิดเสียอีก ความคิดที่ว่านี่ย้อนไปได้ถึงยุคกรีกโบราณที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ถูกโยงเข้าไป เกี่ยวข้องกับตำนานเกี่ยวกับยุคทองของมนุษยชาติ ที่ ๆ สังคมอยู่ด้วยกันด้วยความสามัคคีปรองดองกันเสียก่อน จึงร่วมกันสร้างความงอกงามทางวัตถุในภายหลัง แต่บางคนก็แย้งว่าตำราสาธารณรัฐ (The Republic) ของเพลโตและผลงานอื่นๆ ของนักทฤษฎีรัฐศาสตร์ในยุคโบราณ เพียงแค่สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ในด้านการอยู่รวมกันในสังคมอย่างปรองดอง เท่านั้น รวมถึงหลาย ๆ นิกายในคริสตจักรสมัยเก่า และเน้นเป็นพิเศษในโบสถ์สมัยเก่า ดังที่บันทึกไว้ในบัญญัติแห่งบรรดาอัครสาวก (Acts of the Apostles) อีกทั้งชนเผ่าพื้นเมืองแห่งทวีปอเมริกาก่อนยุคโคลัมบัสบุกเบิก ก็ยังปฏิบัติตามแนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ว่าด้วยการอยู่ด้วยกันเป็นสังคม และครอบครองวัตถุร่วมกัน รวมถึงอีกหลายๆ ชนชาติที่พยายามที่จะก่อตั้งสังคมคอมมิวนิสต์ได้แก่ นิกายเอซเซนแห่งยิว (Essenes) และนิกายยูดาทะเลทราย
ในคริสต์ ศตวรรษที่ 16 นักบุญโทมัส มอร์ นักเขียนชาวอังกฤษกล่าวในหนังสือยูโทเปีย (Utopia) ของเขาว่า สังคมทุกสังคมมีรากฐานอยู่ที่การครอบครองวัตถุชิ้นใดๆ ร่วมกัน โดยมีหัวหน้าอยู่หนึ่งคนหรือหนึ่งคณะที่มีหน้าที่นำมันไปใช้ตามหลักแห่งเหตุ และผลที่เหมาะสม ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 แนวคิดคอมมิวนิสต์ผุดขึ้นมาอีกครั้งในประเทศอังกฤษ เมื่อเอ็ดเวิร์ด เบิร์นสไตน์กล่าวในผลงานแห่งปี พ.ศ. 2438 (ค.ศ. 1895) ของเขา ครอมเวลล์และคอมมิวนิสต์ (Cromwell and Communism) อย่างเผ็ดร้อนว่ามีหลาย ๆ กลุ่มในสงครามกลางเมืองอังกฤษ โดยเฉพาะพวกนักขุดหรือผู้เผยเปลือกใน (Digger หรือ True Leveller) ที่แสดงการสนับสนุนแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน เน้นความสำคัญไปที่บรรดาชาวไร่ชาวนา ซึ่งทัศนคติของ โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ต่อคนกลุ่มนี้มักเป็นความรำคาญ หรือแม้กระทั่งแสดงความเป็นศัตรูต่อคนกลุ่มนี้อย่างชัดเจน
อุดมการณ์ทางการเมือง


เน้นการใช้อำนาจรัฐ
เสรีนิยม
อนุรักษ์นิยม
ฟาสซิสม์
เน้นเรื่องเศรษฐกิจ
ทุนนิยม
สังคมนิยม
คอมมิวนิสต์
ลัทธิเลนิน
ลัทธิสตาลิน
ลัทธิเหมา


ความ ไม่เห็นด้วยต่อการครอบครองวัตถุแต่เพียงผู้เดียวยังคงถูกแย้งมาโดยตลอดในยุค แสงสว่าง (The Age of Enlightenment) แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 18 ผ่านนักวิชาการชื่อดังเช่น ชอง-ชาก รุสโซ รวมถึงนักเขียนสังคมนิยมยูโทเปีย เช่น โรเบิร์ต โอเวน ซึ่งบรรดาบุคคลเหล่านี้ก็ถูกขนานนามว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในบางครั้ง
คา ร์ล มาร์กซ์เห็นว่าแนวคิดคอมมิวนิสต์ในช่วงเริ่มแรกนั้นคือสถานะดั้งเดิม ของมนุษยชาติที่พัฒนาตนเองขึ้นมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ควบคู่ไปกับระบอบศักดินา ที่เป็นสถานะของระบบทุนนิยมในขณะนั้น เขาจึงเสนอก้าวต่อไปในวิวัฒนาการทางสังคมกลับไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ ที่มีระดับสูงกว่าแนวคิดคอมมิวนิสต์เก่าๆ ที่มนุษยชาติเคยปฏิบัติกันมา
ใน ขณะเดียวกัน ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็เติบโตมาจากการเคลื่อนไหวของชนผู้ใช้แรงงานในยุโรปช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การปฏิวัติทางอุตสาหกรรมพัฒนายิ่งขึ้น แต่นักวิชาการหัวคิดสังคมนิยมเห็นว่าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทำให้กำลังแรง งานด้อยคุณภาพลง ในขณะที่คนงานที่ทำงานในโรงงานกลางเมืองก็ต้องทำงานในภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ยิ่งขึ้น และช่องว่างที่แคบลงระหว่างคนรวยและคนยากไร้

ลัทธิมาร์กซิสต์
มาร์กซ์ และเองเงิลส์พยายามหาแนวทางที่จะนำจุดจบมาสู่ระบบทุนนิยมและการกดขี่ผู้ใช้ แรงงานเหมือนกับนักสังคมนิยมคนอื่นๆ แต่ในขณะที่นักสังคมนิยมคนอื่นหวังถึงการค่อยๆ ปฏิรูปสังคมในระยะยาว ทั้งมาร์กซ์และเองเกิลส์คิดว่ามีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะนำไปสู่ระบอบ สังคมนิยมได้ นั่นคือการปฏิวัติ
ตามที่ข้อสนับ สนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ของมาร์กซ์กล่าวไว้ว่า ลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสังคมชนชั้นคือความไม่สนใจซึ่งกันและกัน และยังกล่าวอีกว่าความคิดแบบคอมมิวนิสต์คือสิ่งที่มนุษย์ปรารถนา เพราะมันนำมาซึ่งความหยั่งรู้และการพบกับอิสรภาพแห่งมนุษย์อย่างแท้จริง มาร์กซ์ในที่นี้กล่าวตามนักปรัชญาชาวเยอรมัน ยอร์ช วิลเฮล์ม ฟรีดดิช ฮีเกล (G.W.F. Hegel) ที่กล่าวว่าอิสรภาพมิใช่เพียงแค่การมิให้อำนาจเข้ามาควบคุมเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการกระทำที่มีสำนึกศีลธรรมอีกด้วย ไม่เพียงแค่ระบอบคอมมิวนิสต์จะทำให้คนทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการเท่านั้น แต่การทำให้มนุษย์ที่มีสถานภาพเดียวกันและความเหมือนกันนั้น จะทำให้พวกเขาไม่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์สู่ตนเองอีกต่อไป ในขณะที่เฮเกลคิดถึงการใช้ชีวิตตามหลักจรรยา ผ่านมโนภาพที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับมาร์กซ์แล้ว คอมมิวนิสต์นั้นเกิดขึ้นได้จากวัตถุและผลิตผล โดยเฉพาะการพัฒนารายได้ที่ประชาชนจะได้รับจากการผลิต
ลัทธิ มาร์กซ์นั้นยึดถือว่า กระบวนการแตกแยกระหว่างชนชั้นที่ต่างกัน ผสมกับการดิ้นรนต่อสู่ที่จะปฏิวิติ จะนำชัยชนะมาสู่ชนชั้นแรงงาน และนำมาซึ่งการก่อตั้งสังคมคอมมิวนิสต์ที่ที่สิทธิ์ในการการครอบครองทรัพย์ สมบัติส่วนบุคคลจะค่อย ๆ ถูกลบล้างไป และรายได้ของประชาชนจากการผลิต และความเป็นอยู่ที่ยึดติดอยู่กับชุมชนจะค่อย ๆ เข้ามาแทนที่ ตัวมาร์กซ์เองนั้นชี้แจงไว้เพียงเล็กน้อย เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่เมื่ออยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ แต่กล่าวถึงข้อมูลเฉพาะส่วนหลัก ๆ ที่เป็นแนวทางไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์เท่านั้น ซึ่งส่วนมากจะเกี่ยวกับการลดขอบเขตของสิ่งที่บุคคลพึงกระทำ เห็นได้จากสโลแกนของกลุ่มเคลื่อนไหวลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีความว่า สังคมคอมมิวนิสต์คือโลกที่ทุก ๆ คนทำในสิ่งที่พวกเขาถนัด และได้รับตามที่พวกเขาต้องการ ตัวอย่างที่อธิบายแนวคิดของมาร์กซ์มาจากผลงานเขียนเพียงไม่กี่ชิ้นของเขาที่ มีข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตของลัทธิคอมมิวนิสต์โดยละเอียด คือ แนวคิดลัทธิของเยอรมัน (The German Ideology) ในปี พ.ศ. 2388 (ค.ศ. 1845) งานชิ้นนั้นมีใจความว่า:

"ในสังคม คอมมิวนิสต์ที่ไม่มีใครถูกจำกัดภาระหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในทุกๆ สาขาที่เขาต้องการ เมื่อสังคมกำหนดเป้าหมายการผลิตทำให้มันเป็นไปได้ที่จะทำสิ่งหนึ่งวันนี้ และทำให้อีกสิ่งในวันพรุ่ง ล่าสัตว์ในตอนเช้า, ตกปลาในตอนกลางวัน, ต้อนวัวในตอนเย็น และวิจารณ์หลังอาหารค่ำ ดังที่ตัวเองปรารถนา โดยไม่ต้องมีอาชีพเป็นนักล่าสัตว์ ชาวประมง คนเลี้ยงสัตว์และนักวิจารณ์"
วิสัย ทัศน์ที่มั่นคงของมาร์กซ์ ทำให้วิสัยทัศน์นี้กลายเป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับความเป็นไปของสังคม ที่เป็นระบบ ภายใต้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง และเป็นทฤษฎีทางการเมืองที่อธิบายถึงความจำเป็นที่จะต้องกระทำการปฏิวัติ เพื่อที่จะได้สิ่งใดๆ มาที่มีข้อกังขาเล็กน้อย
ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 นิยามของคำว่า ระบอบสังคมนิยม และ ระบอบคอมมิวนิสต์ มักถูกใช้แทนกัน อย่างไรก็ตาม มาร์กซ์และเองเกิลส์เห็นว่า สังคมนิยมคือระดับปานกลางของสังคมที่ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่จากการผลิตมีมวลชน เป็นเจ้าของร่วมกัน โดยที่ยังคงความแตกต่างระหว่างชนชั้นไว้เล็กน้อย โดยที่พวกเขาสงวนนิยามของระบอบคอมมิวนิสต์ไว้ว่า เป็นขั้นสุดท้ายของสังคมที่ไม่มีความแตกต่างระหว่างชนชั้น ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี และรัฐบาลเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
หลัก เกณฑ์เหล่านี้ต่อมาจึงถูกพัฒนา โดยเฉพาะจาก วลาดิมีร์ เลนิน ซึ่งมีอิทธิพลในการกำหนดลักษณะของพรรคคอมมิวนิสต์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ให้โดดเด่น นักเขียนรุ่นต่อมาเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์ของมาร์กซ์โดยมอบอำนาจให้กับรัฐให้ เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาสังคมดังกล่าว โดยแย้งว่าการที่จะให้เป็นคอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์ได้นั้น ต้องเริ่มมาจากการเป็นสังคมนิยมเสียก่อน จึงค่อย ๆ แปลงสังคมภายใต้ระบอบสังคมนิยม ให้กลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์
คน รุ่นเดียวกับมาร์กซ์บางคน เช่น อนาธิปัตย์อย่าง มิคาเอล บาคูนิน ก็สนับสนุนแนวคิดคล้าย ๆ กัน แต่ต่างกันในทัศนคติของพวกเขาในเรื่องของวิธีที่จะนำไปสู่สังคมสามัคคีที่ ไร้ชนชั้นได้ จนมาถึงทุกวันนี้ยังคงมีการแบ่งกลุ่มเคลื่อนไหวของคนงานอยู่ระหว่างกลุ่ม ลัทธิคอมมิวนิสต์ของมาร์กซ์และกลุ่มอนาธิปัตย์ โดยที่พวกอนาธิปัตย์มีความคิดเป็นปฏิปักษ์และต้องการที่จะล้มล้างทุกอย่าง ที่เป็นของรัฐบาล แต่ในหมู่พวกเขาก็มีนักอนาธิปัตย์-คอมมิวนิสต์อย่าง ปีเตอร์ โครพอตคิน ที่เชื่อในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ไร้ชนชั้นในทันที ในขณะที่นักอนาธิปัตย์-สหการนิยมเชื่อในสหภาพแรงงานที่เป็นองค์กรที่ทำ หน้าที่เป็นผู้นำในสังคม ตรงกันข้ามกับพรรคคอมมิวนิสต์ (ที่เชื่อในสังคมไร้ชนชั้น นั่นคือไม่มีผู้นำ)

ยุคปัจจุบัน
ใน ช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 แนวทฤษฎีของมาร์กซเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดพรรคสังคมนิยมทั่วยุโรป แม้ว่านโยบายของพวกเขาในเวลาต่อมาจะค่อนข้างคล้อยตามกับระบอบทุนนิยมที่ กำลังปรับเปลี่ยนตัวเอง มากกว่าที่จะก่อการรัฐประหาร ยกเว้นพรรคแรงงานสังคมประชาธิปัตย์แห่งรัสเซีย (Russian Social Democratic Workers' Party) โดยหนึ่งในกลุ่มในพรรค ที่เป็นที่รู้จักในนามของกลุ่มบอลเชวิค ซึ่งนำโดยวลาดิมีร์ เลนินที่ประสบความสำเร็จในการปกครองประเทศหลังจากการล้มล้างรัฐบาล รักษาการณ์ในการปฏิวัติรัสเซีย (Russian Revolution of 1917) ใน พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) ในปีต่อมา พรรคดังกล่าวเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งจากนั้นมาทำให้เกิดข้อแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างระบอบคอมมิวนิสต์และ ระบอบสังคมนิยม
หลังจากประสบความสำเร็จในการ ปฏิวัติตุลาคม (October Revolution) ในรัสเซีย ทำให้พรรคสังคมนิยมในหลายๆ ประเทศเปลี่ยนตัวเองเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีความภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตที่แตกต่างกันไป เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง คณะบริหารที่เรียกตนเองว่าคอมมิวนิสต์ก็เข้ายึดอำนาจในยุโรปตะวันออก ในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) พวกคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน นำโดยเหมาเจ๋อตุงก็ขึ้นสู่อำนาจและก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างนั้นบรรดาประเทศโลกที่สามต่างก็รับระบอบคอมมิวนิสต์เข้ามาเป็นระบอบ การปกครองได้แก่คิวบา เกาหลีเหนือ เวียดนาม ลาว แองโกลา และโมซัมบิก ในต้นทศวรรษที่ 1980 ประชากรหนึ่งในสามของโลกถูกปกครองภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์
ความ เชื่อแบบคอมมิวนิสต์ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามในสหรัฐอเมริกา จากประวัติศาสตร์การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์มาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามเย็น ของอเมริกา ต่อมาในต้นคริสตทศวรรษที่ 1970 นิยามใหม่ที่เรียกว่า "ยูโรคอมมิวนิสต์" (Eurocommunism) ก็ถูกใช้ระบุถึงนโยบายใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันตก ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่ตั้งใจจะปฏิเสธการช่วยเหลือที่ไม่มากนักและไม่คงเส้น คงวาของสหภาพโซเวียต บางพรรคดังกล่าวถือว่าเป็นพรรคใหญ่และเป็นหัวคะแนนในการเลือกตั้งได้แก่ใน ฝรั่งเศสและอิตาลี แต่จากการล่มสลายของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกจากช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 จนไปถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) ทำให้อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ลดลงไปอย่างมากในยุโรป อย่างไรก็ตามประชากรหนึ่งในสามของโลกก็ยังคงตกอยู่ภายใต้การปกครองระบอบ คอมมิวนิสต์อยู่ดี
ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์เป็นหลักในปัจจุบันได้แก่:

สาธารณรัฐประชาชนจีน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
สาธารณรัฐคิวบา

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ພນ.ທ່ານ ລອງນາຍົກ ພຽນ ໄຊຍະຣາຊ, ມາຄືມີຊື່ Wettawanh Praxaysaeng.
ບໍ່ເຂົ້າໃຈວ່າ ນີ້ແມ່ນຊື່ ທີສອງຫລືຊື່ແບບໃດ, ສົງຈາກພຽນໄຊຍະຣາຊ ແຕ່ລົງຊື່່ຜູ້ອື່ນອີກ. ຫລືເປັນຊື່ ໂຄສົກປະຈໍາສໍານັກນາຍົກ ກໍຢາກຊາບນໍາ ເພື່ອບໍ່ເປັນການລົບກວນທ່ານ ຈະໄດ້ຂຽນເຖິງໂຄສົກປະຈໍາ
ສໍານັກກໍ່ໄດ້. ການແລກປຽ່ນຄວາມຄິດເຫັນ, ຖ້າເຮົາບໍ່ຮູ້ວ່າເຮົາເວົ້າກັບໃຜ ໃນຣະດັບ ຣຖບ ມັນກໍເປັນ
ການບໍ່ມີຄວາມເຊື່ອຖື ຫລືອາດຜິດພາດໃນການໃຫ້ກຽຕ,

ສ່ວນເຣື້ອງການປະທ້ວງ ສຖານທູດອະເມຣິກາໃນລາວນັ້ນ ທ່ານບຸນລຽນ ຫມາຍເຖິງ
ເວລາໃດທີ່ ຣັຖບານພັດຖິ່ນລາວນອກ, ຈະແມ່ນ ຣຖບ ໃດກໍຕາມເພາະມີຫລາຍ,
ຫາກເຂັ້ມແຂງມີພລັງຂື້ນມາ ຈະຢັ່ງຜົນກະທົບຕໍ່ການປົກຄອງປະເທດລາວ, ເວລານັ້ນຈຶ່ງຈະມີການປະທ້ວງ, ຖ້າຍັງຢູ່ໃນສະພາບປະຈຸບັນນີ້ ແລະຕໍ່ໆໄປ ທ່ານບໍ່ຕ້ອງກັງວົນດອກ ບໍ່ມີຜີບ້າຄົນໃດຈະໄປປະທ້ວງດອກ, ນີ້ແມ່ນພາສາລາວບໍ່ແມ່ນອັງກິດ,ເຂົ້າໃຈງ່າຍ ແລະຊັດເຈນທີ່ສຸດ. ແລະບໍ່ມີໃຜດີໃຈເມື່ອເຫດການນັ້ນເກີດຂື້ນ
ເພາະມັນແມ່ນການຕໍ່ສູ້ຂອງປະຊາຊົນລາວ, ແລະເພື່ອປະຊາຊົນລາວ.

ສ່ວນລາວສວັນ ກໍນອນຢູ່ໃນນີ້ແລ້ວບໍໄດ້ໄປໄດ້ມາ ເປັນປີແລ້ວ, ບໍ່ໄດ້ເຊັຍໃຜ ຫລືຄ້ານໃຜ, ຖ້າເຫັນວ່າ
ອັນໃດອອກນອກປະເດັນ ກໍສອດມາຢາກໃຫ້ມັນສວຍງາມນໍາກັນ ກໍທໍ່ນັ້ນລະ.


ລາວສວັນ ລູກຫລານພໍ່ກະດວດ




2011/12/15 phiane sayarad




---------- Forwarded message ----------
From: phiane sayarad
Date: 2011/12/14
Subject: Re: FW: ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ທີ່ກຽ່ວຂ້ອງໃນຂ່າວນີ້ ອະທິບາຍເພີ້ມແດ່.
To: kham simouang
Cc: Sithat Sithibourn , somk.keomphay@yahoo.com, "Mrs.Nouane KeoAmphay" , Toum Rasika , vannalone khammanivong , bounkhong.arounsavat2@gmail.com


12 -14 -2011
Dear fellow compatriots.
Regarding to Mr. Bounliane quotes on the forum, he said eventually the Lao-Keow will protest Lao-Nork oppositions elements, especially RLGE will be protested by Lao-Keow in the Front of U.S.A's Embassy in Vientiane, They don't have the rights to protest only Human Rights factions,
My dear fellow compatriots,regarding Bouanliane was quoting,it sounds like, every body will be very happy to see the disappearane of RLGE and RLGE's members to be arrested.
Last statement, Bounliane said, he has never talked about RLGE, and never mentioned and look down on Prime Minister Khamphoui,
On this statement below, he is so happy, if the RLGE is protested by Lao-Keo in the Front of U.S.A's Embassy, and RLGE dismantles by the U.S.A 's government. . I think every Lao - Nork who cheers up for Bounlaine will be very happy on the disappearance of RLGE, and Lao-Keo have no enemy to confront with them.
I would pray to the Lord of Bhudda, please help Lao-Keow to set up protest RLGE in the Front of U.S.A,s Embassy. I Vettawanh Praxaysaeng, am, sacrificed myself to wait and see that event happen, Please don't let me wait so long.
With best regard.
Wettawanh Praxaysaeng.



2011/12/14 kham simouang





--------------------------------------------------------------------------------
From: khamsimouang@hotmail.com
To: blacksaphire@hotmail.fr
Subject: FW: ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ທີ່ກຽ່ວຂ້ອງໃນຂ່າວນີ້ ອະທິບາຍເພີ້ມແດ່.
Date: Wed, 14 Dec 2011 09:44:23 -0800


Dear all
An assemblage for protestation in Communist regime may happen by the plan or the game of Communists.
They can form any time and any day this action is on their progams. Twoo and three months ago Hanoi made
public protestation in Vietnam that's for claiming their right over China about Paracell and Priesley Iseland in
South China sea. Mr. Bouasone may do the public protest in Viantiane, so if it will happen like some of Lao
NORK dreamed in this FORUM, that's not different from the game happened in Hanoi, Because NO ANY ACTION
be made in COMMUNIST Dictatorial REGIME WITHOUT PARTY COMPRISING. If Mr.Boasone can form A REVOLUTIONARY ACT IN LAOS to GET RID OF COMMUNIST REGIME... Wah! Bouasone must confront with the
Guns of Vietnam...Good for us, we must join him immediately., Because we are waiting for this situation long
long time.
Thank




--------------------------------------------------------------------------------
From: laosavanh@gmail.com
Date: Wed, 14 Dec 2011 07:55:33 -0600
Subject: Re: ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ທີ່ກຽ່ວຂ້ອງໃນຂ່າວນີ້ ອະທິບາຍເພີ້ມແດ່.
To: laosnetworkroom@googlegroups.com


ທ່ານ ບຸນລຽນ ເວົ້າຖືກແລ້ວ,
ຄິດວ່າຕ້ອງເປັນໄປຢ່າງແນ່ນອນ ຖ້າເວລາໃດ ຣຖບພັດຖິ່ນ ມີບົດບາດ
ທາງການເມືອງ ກະທົບກະເທືອນ ຣັຖບານສປປລາວ,
ສຖານທູດ ອະເມຣິກາ ຈະຖືກປະທ້ວງ, ຕໍ່ມາ ເຈົ້າຂອງປະເທດກໍຈະມາຂໍໃຫ້
ຍຸບສະພາລາວນອກ ຫລືຍ້າຍສະພາໄປບ່ອນອື່ນ, ມັນກໍເປັນທັມະດາ.


ລາວສວັນ ລູກຫລານພໍ່ກະດວດ




2011/12/13 Bounliane Rajphoumy

ອີກບໍ່ດົນ ເຂົາຈະເດີນປະທ້ວງ ຂບວນການລາວນອກ..ໂດຽສເພາະ
ຣຖບ ພັດຖິ່ນ...ເຂົາຈະຍົກປ້າຍຕໍ່ໜ້າ ສຖານທູດ ເມລິກາ ທີ່ ວຈ...

ເຂົາຈະບໍ່ມີສິດທ້ວງແຕ່ Human Right ...........


From: black saphire
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Sent: Tuesday, December 13, 2011 9:35 AM
Subject: RE: ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ທີ່ກຽ່ວຂ້ອງໃນຂ່າວນີ້ ອະທິບາຍເພີ້ມແດ່.

สถานการณ์ความสัมพันธ์ด้านลาว
ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์โดยพรรคประชาชนปฏิวัติลาว เป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุด ผูกขาดการปกครองประเทศมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้การเมืองภายในของลาวมีเสถียรภาพอย่างยิ่ง แต่ลาวก็ยังคงมีปัญหาที่ยืดเยื้อและยังไม่สามารถปราบปรามลงได้อย่างเด็ดขาด ก็คือ ปัญหาขบวนการต่อต้านรัฐบาลลาว (ขลต.) ที่ยังคงใช้กองกำลังปฏิบัติการก่อความไม่สงบขึ้นในพื้นที่ของลาวอย่างต่อ เนื่อง และลาวยังคงหวาดระแวงว่ารัฐบาลไทยให้การสนับสนุนให้ ขตล. ใช้ประเทศไทยเป็นฐานเข้าไปปฏิบัติการในลาว
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวได้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ และการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลดำเนินไปด้วยความราบรื่น.

Date: Mon, 12 Dec 2011 20:10:10 -0800From: toum.rasika@yahoo.comSubject: Fw: ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ທີ່ກຽ່ວຂ້ອງໃນຂ່າວນີ້ ອະທິບາຍເພີ້ມແດ່.To: laosnetworkroom@googlegroups.com


ທ່ານ ລາວພີ່ນ້ອງ ທີ່ນັບຖື.


ບໍ່ຕ້ອງຢ້ານເຂົາຈັບຄົນດອກ ເພາະ ຣັຖບານ ສປປລ ອານຸຍາດໃຫ້ເຮັດການຊຸຸມນຸມ ເພື່ອ ໂຊຊາວໂລກ ວ່າລາວມີ ປະຊາທິໄຕ ມີສິດ ປາກເວົ້າ ແລະ ຊຸມນູມ .


ດັ່ງນັ້ນ ລາວນອກ ຈຶ່ງກາຍເປັນ ສ່ວນເກີນ ຄືຄົນບໍ່ດີ ຫລື ພວກກໍກຮ.
ສະຫະປະຊາຊາດກໍພອຍຈະຍ້ອງຍໍເຂົາໄປນຳອີກ.


ການຕໍ່ສູ້ ຂອງແນວລາວ ເຂົາຂີ່ຣົດ ແຕ່ ລາວນອກເຮົາ ພາກັນຂີ່ກວຽນ ເພື່ຶອຮັກສາວັດຖຸໂບຮານ.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ




From: "khammaithammavo@centurytel.net"
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Sent: Tuesday, 13 December 2011 2:40 PM
Subject: Re: ຂໍໃຫ້ທ່ານຜ���້ກຽ່ວຂ້ອງ���ນຂ່າວນີ້ອະທິບາຍເພີ້ມ���ດ່.

Dear All to phinong Lao Patriots
ເປັນຫຍັງ ຄືມາຟ້າວເປີດຂ່າວນີ້ອອກມາ, ຢ້ານວ່າສັດຕຣູມັນຮູ້ ກໍ່ຈະຕຽມແຜ່ນການລັດໄວ້ ແຕ່ຖ້າເກີດຂື້ນແລ້ວ ທຸກຄົນຈົ່ງຕຽມຕົວ ສະຣາຊີວີດເພືອຊາຕ ພາກັນລຸກຂື້ນສູ້ ກັບພວກ ພດກ ຢ່າງພີຣາດອາດຫານ ມີຄວາມສາມະຄີກັນ ເປັນນ້ຳນື່ງໃຈດຽວກັນ ຢືນສູ່ຢ່າງກ້າຫານ ສູ້ເອົາປະຊາທີປະໄຕຍ໌ ແລະສີດທີເປັນເຈົ້າຂອງຕົນເອງ, ທາງອົງການ UN ແລະທ່ານບຸນຄົງຕ້ອງເອົາໃຈໃສ່ໄກ້ສີດ ເຮື້ອງສີດທີມະນຸດ ULN ຂໍໄຫ້ຢູ່ຄຽງບ່າຄຽງໄຫຼ່ຣ່ວມກັນ ເຮັດໄຫ້ດອກຈຳປາລາວເບີກບານສົດໃສ ກີ່ນຫອມຫວນບູຊາ ເຖີງເທວະດາອີນພົມເຈົ້າ ສເດັດລົງມາຊ່ອຽພີ້ນ້ອງລາວ ທຸກໆຄົນໄດ້ຢູ່ລອດປອດພັຍ, ພວກທ່ີຢູ່ພາຽໃນ ຈົ່ງຕັກເຕືອນບອກພີ້ນ້ອງ ທະຫານຕຳຣວດຈົ່ງຈັບປືນອວຍໃສ່ແກວ ແລ້ວມາພ້ອມປະຊາຊົນ ມີຄວາມຮັກຊາຕ ຮັກພໍ່ແມ່ພີ້ນ້ອງຂອງຕົນ ຢ່າໄປຟັງພັກຣັດພວກຫົວເປັນແກວ ແອວເປັນລາວ ຈົ່ງພາກັນສູ່ ຄັບໄລ່ມັນໜີອອກຈາກດີນລາວໃຫ້ໄດ້. ແລະລາວຢູ່ອອກ ກໍ່ຕຽມພ້ອມສເມີ ດ້ວຽນຳ້ໃສໃຈຈີງ ຈະຢູ່ຄຽງບ່າຄຽງໄຫຼ່ ຢືນສູ່ຢ່າງບໍ່ຖຽ ຣ່ວມສຸຂ ຣ່ວມທຸຂນຳພີ້ນ້ອງເອີຽ.
ຂພຈ ຂໍວີ່ງວອນເຖີງຄຸນພຣະສີອາຣີຍາເມດໄຕຍ໌ເຈົ້າ ໂປຣດສເດັດລົງມາຄຸ່ມຄອງຮັກສາ ພໍ່ແມ່ພີ້ນ້ອງທຸກໆຄົນພົ້ນໂພຽພັຍ ອັນຕຣາຍແລະມີໃຊຊະນະ ຜາບແພ້ຂ້າເສີກສັດຕຣູ ພວກໝູ່ມານບໍ່ມາໄກ້ ປະຊາຊົນມີໃຊຍ໌ ປະຊາທີປະໄຕຍ໌ແກ່ລາວເຮົາ ໃນປີໃໝ້ 2012 ນີ້ເທີນສາທູ ສາທູໆ
Khammai Thammavongsa
Quoting "specom2009@comcast.net" :

ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ກຽ່ວຂ້ອງໃນຂ່າວນີ້ອະທິບາຍເພີ້ມແດ່.

ວັນສຸກທີ 16 ທັນວາ 2011 ນີ້ ເລີ່ມແຕ່ເວລາ 17:30 ໂມງເປັນຕົ້ນໄປ ຈະໄດ້ມີການໂຮມຊຸມນຸມຄັ້ງໃຫ່ຍ ຂໍຢໍ້າ (ຄັ້ງໃຫ່ຍ)ອີກເທີ່ອໜຶ່ງໃນປະຫວັດສາດລາວເຮົາ ຢູ່ທີ່ເດີ່ນພະທາດຫຼວງວຽງຈັນ ນຳໂດຍພະນະທ່ານ ບົວສອນ ບຸບຜາວັນ ອະດີດນາຍົກລັຖມົນຕີລາວເຮົາ ທີ່ຖືກເດັ້ງໂດຍກຸ່ມຫົວນິຍົມຫວຽດນາມ ຍ້ອນທ່ານບົວສອນເພິ່ນນິຍົມຈີນ. ໃນອະດີດທ່ານບົວສອນ ກໍເປັນນັກສຶກສາຄົນໜຶ່ງທີ່ມີຜົນງານ ເດັ່ນໃນການເປັນແກນນຳໂຮມຊຸມນຸມ. ອີກທ່ານໜຶ່ງທີ່ຈະເປັນແກນນຳໃນຄັ້ ງນີ້ແມ່ນທ່ານ ສຸລິວົງ ດາລາວົງ ລັຖະມົນຕີ ພະລັງານບໍ່ແຮ່ ເປັນລຸງ ເຮົາເອງ. ຄາດກັນວ່າ ທ່ານ ສົມສະຫວາດ ເລັ່ງສະຫວັດ ກໍຈະເຂົ້າຮ່ວມ.
ທຸກໆຄົນສາມາດເຂົ້າຮ່ວມໄດ້ ເພື່ອສະແດງພະລັງວ່າເຮົາຄົນລາວບໍມັກການຕົກເປັນຫົວເມືອງແບບໃໝ່ໃຫ້ແກ່ຫວຽດນາມ!

ກະລຸນາ copy ຂຽນໃສ່ status ຂອງທ່ານແລ້ວບອກຕໍ່ໆກັນໄປ. Copy ມາຈາກອ້າຍ ຕູ່ ຄົນຮັກຊາດລາວ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.dvb.no/news/opium-trade-soars-in-burma-laos-un/19212

www.siengserixonlao.com

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เศรษฐกิจกับขบวนการค้าฅนลาว
( NEW- LAOTIANS PROSTITUTES



รายงาน ข่าวเล็กๆในระดับท้องถิ่นที่เกิดขึ้นในเขตอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคายเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าวันออกพรรษาระบุว่าบรรดาแม่บ้านในเขต อำเภอดังกล่าวได้พากันไปร้องเรียนต่อนายอำเภอเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบสถาน บริการด้านการบันเทิงต่างๆ อย่างเข้มงวด เนื่องจากสงสัยว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บรรดาสามีของพวกตนไม่ยอมกลับบ้าน หลังจากเลิกงานตามปกติแล้วนั้นไม่เพียงจะเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงสภาพที่ เสื่อมทรามทางสังคมวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางจนกลายเป็นเรื่องปกติ ธรรมดาสำหรับพื้นที่ชายแดนไทยที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น
หาก แต่รายงานข่าวเล็กๆชิ้นนี้ ยังนับเป็นกรณีที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการค้ามนุษย์ข้ามชาติทั้งใน ประเทศไทยและในลุ่มแม่น้ำโขงได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่าภายหลังจากที่นายอำเภอท่าบ่อได้นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าทำ การตรวจค้นตาม สถานบริการที่ต้องสงสัยภายในเขตอำเภอแล้วนั้นสามารถจับกุมหญิงสาวลาวได้หลาย สิบคน และทุกคนต่างก็ให้การรับสารภาพว่า ประกอบกิจในการขายบริการทางเพศเป็นสำคัญ โดยลูกค้าหลัก ก็คือบรรดาสามีของบรรดาแม่บ้านที่ได้พากันไปร้องเรียนต่อนาย อำเภอท่าบ่อนั่นเอง

แน่ นอนว่าการที่หญิงสาวลาวได้พากันเดินทางเข้ามาประกอบกิจขายบริการทางเพศในไทย ดังกล่าวนี้ย่อมมิได้เกิดจากการสมัครใจเป็นแน่ หากแต่เป็นเพราะปัญหาและความจำเป็นทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยมีบรรดานายหน้าทั้งในลาวและไทยเป็นฝ่ายที่คอยอำนวยความสะดวกให้ในทุกๆ ด้าน เช่นการเดินทางจากลาวมาไทย

การให้สถาน ที่พักพิงชั่วคราว และการจัดหางานทำในไทยให้กับหญิงสาวลาวทุกคน เป็นต้น

ทั้งนี้โดยบรรดานายหน้าในลาวและไทยจะมีการแบ่งงานกันอย่างเป็นระบบรวม ทั้งยังมีการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกันอย่างชัดเจนอีกด้วย

กล่าวคือบรรดานายหน้าในลาวจะมีหน้าที่ในการจัดหาแรงงานลาวเพื่อส่งให้กับ บรรดานายหน้าที่ชายแดนไทย โดยได้รับค่าตอบแทนระหว่าง 5,000-7,000 บาทต่อการจัดหาและส่งมอบแรงงานลาว 1 คนให้กับบรรดานายหน้าในไทย

การแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนเช่นนี้ระหว่างนายหน้าในลาวและในไทย ได้เริ่มมีขึ้นนับเป็นระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษมาแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งนับจากเกิดปัญหาวิกฤติ การณ์ทางเศรษฐกิจ-การเงินในปี 1997 เป็นต้นมา ซึ่งมาตรการลอยค่าเงินบาทของไทยนั้นได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและค่าเงินกีบของลาวอย่างรุนแรง

กล่าวคือในขณะที่ค่าเงินบาทตกต่ำลงในอัตราเฉลี่ย 45% ในปลายปี 1997 นั้นก็ปรากฏว่าเงินกีบได้ตกต่ำลงในอัตราเฉลี่ยถึง 75% ในช่วงเดียวกัน โดยที่ค่าเงินกีบได้ปรับค่าลดลงจาก 40 กีบต่อ 1 บาทหรือ 1,050 กีบต่อดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมิถุนายน 1997 สู่ระดับต่ำสุดที่ 89 กีบต่อ 1 บาทหรือ 4,895 กีบต่อดอลลาร์สหรัฐ

แต่สำหรับในตลาดมืดแล้วเงินกีบได้ปรับค่าลดลงถึงกว่า 140 กีบต่อ 1 บาทหรือ 6,160 กีบต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี 1997 และยิ่งนานวัน ค่าเงินกีบของลาวก็ยิ่งปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องโดยอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยใน 2004 อยู่ที่ระดับ 268 กีบต่อ 1 บาทหรือ 10,450 กีบต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยคิดเป็นอัตราการตกต่ำลงในระดับที่เกินกว่า 200% เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงกลางปี 1997 เลยทีเดียว

โดยถึงแม้ว่าเศรษฐกิจลาวจะได้เริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติ และเริ่มกลับคืนสู่การฟื้นตัวนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา โดยเศรษฐกิจของลาวได้มีการขยายตัวในอัตราเฉลี่ยถึง 5.7% ในปี 2002 แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 5.9% ในปี 2003 และ 6.5% ในปี 2005 ก็ตาม แต่สภาพการณ์นี้ก็หาได้ส่งผลทำให้เงินกีบของลาวแข็งค่าขึ้นแต่อย่างใด

ทั้ง นี้เพราะปัจจัยพื้นฐานของปัญหาวิกฤติการณ์เศรษฐกิจในลาวนั้นเกิดจากการมีผล ผลิตหรือสินค้าส่งออกไปต่างประเทศอย่างไม่สมดุลกับการนำเข้าจากต่างประเทศ

ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะทำให้ลาวต้องเผชิญกับภาวะการขาดดุลทางการค้าในอัตราที่สูงกว่า 8% ของมูลค่า GDP นับจากปี 1986 เป็นต้นมาแล้วยังได้ส่งผลต่อสถานะของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในลาวอย่างรุนแรงอีกด้วย

สาเหตุประการต่อมาก็คือการพัฒนาทางเศรษฐกิจในลาวที่ดำเนินไปภายใต้การพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศเป็นด้านหลัก โดยมากถึง 90% ของมูลค่าการลงทุนทั้ง หมดในลาวนั้นเป็นการลงทุนจากต่างประเทศทั้งสิ้น

ยิ่งกว่านั้น 80% ของ มูลค่าการลงทุนทั้งหมดจากต่างประเทศก็คือการลงทุนจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย ด้วยกัน เฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนจากไทยที่มีสัดส่วนการลงทุนในลาวมากถึง 38% ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เมื่อไทยเกิดมีปัญหาวิกฤติการณ์เศรษฐกิจขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อลาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในปัจจุบันนี้ แม้ว่าเงินกีบจะปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐ โดยอัตราแลกเปลี่ยนทางการจะอยู่ที่ระดับ 248 กีบต่อ 1 บาท และ 8,554 กีบต่อ ดอลลาร์สหรัฐก็ตาม แต่ค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเกือบ 2 ปีมานี้ก็ยิ่งทำให้แรงงานลาวต้องดิ้นรนเดินทางเข้ามาลักลอบทำงานในไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะการได้รับค่าจ้างเฉลี่ยเดือนละ 5,000 บาทในไทยนั้นยังสูงกว่าค่าจ้างในลาวกว่า 2 เท่า

โดยถึงแม้ว่าทางการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมของลาวจะได้กำหนดแผนการที่จะสร้างงานให้กับคนลาวให้ได้มากกว่า 1 แสนอัตรา ในช่วงแผนการประจำปี 2008-2009 และในจำนวนนี้จะเป็นการส่งแรงงานลาวไปทำงานในต่างประเทศ (เฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย) ให้ได้ไม่น้อยกว่า 25,000 คนก็ตาม หากแต่ในช่วงแผนการประจำ ปี 2007-2008 ที่ผ่านมากลับปรากฏว่าทางการลาวสามารถสร้างงานภายในประเทศได้เพียงไม่ถึง 4 หมื่นอัตราและสามารถจัดส่งแรงงานลาวไปทำงานในต่างประเทศได้เพียง 6,000 คนเศษๆเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ยังปรากฏด้วยว่าแรงงานลาวได้แจ้งจดทะเบียนเพื่อขออนุญาตทำงานในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายลดลงอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2003 เป็น ต้นมา โดยเชื่อว่ามีสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งมาจากการที่จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ที่ซ้ำซ้อนทั้งในไทยและในลาว ทั้งๆที่แรงงานลาวเกือบทุกคนในไทยนั้นต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นแรง งานไร้ฝีมือที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในไทยด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้น การที่ทางการลาวเองก็ได้กำหนดให้แรงงานลาวทุกคนต้องชำระค่า ธรรมเนียมในอัตราเฉลี่ยคนละถึง 20,000 บาทเพื่อแลกกับการที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งยังจะต้องเสียค่าธรรมเนียมต่างๆในไทยอีกเกือบ 4,000 บาท ต่อคนต่อปีด้วยนั้น จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใดที่แรงงานลาวต่างก็ได้พากันเลือกใช้บริการ ของบรรดานายหน้าในลาวและไทยมากขึ้นทุกขณะ

โดยจากการประเมินสถานการณ์ของทางการลาวเอง ก็เชื่อว่ามีแรงงานลาวมาก กว่า 2 แสนคนที่ทำงานในไทยในปัจจุบัน ซึ่งในจำนวนนี้มีอยู่ 9 หมื่นคนเศษที่ได้แจ้งจดทะเบียนขออนุญาตทำงานในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แต่สำหรับทางด้านองค์การแรงงานสากล (ILO) กลับได้ประเมินสถานการณ์ว่ามีแรงงานลาวมากกว่า 3 แสนคนที่ลักลอบทำงานในไทยโดยผิดกฎหมาย และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งก็คือกว่า 65% ของ จำนวนแรงงานลาวที่ลักลอบทำงานในไทยโดยไม่ได้ขอ อนุญาตจากทางการไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายดังกล่าวนี้ เป็นแรงงานเด็กและสตรี จึงนับเป็นกลุ่มแรงงานลาวที่มีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของ ขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติในไทย

ซึ่ง แน่นอนว่าถ้าหากแรงงานเด็กและสตรีลาวเหล่านี้ได้ตกไปเป็นเหยื่อของขบวน การค้ามนุษย์ข้ามชาติแล้วนั้นก็ย่อมจะหนีไม่พ้นการถูกขูดรีดแรงงานในโรงงาน นรกหรือโรงงานเถื่อน ส่วนหญิงสาวลาวนั้นก็ย่อมจะหนีไม่พ้นการประกอบกิจในซ่องโสเภณี!!!



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Even in China, more than half of its millionaires are planning to leave the country in order to invest and live in safer places for their wealth, more ...

12/15/2011 11:34
ASIA
A Christmas of emergencies
By Bernardo Cervellera

Christmas 2011 is marked by economic crisis, unemployment, and anxiety, even among wealthy Chinese millionaires. Post-tsunami Japan, Post-earthquake Indonesia and Turkey, Post-flood Vietnam, Thailand and Laos show that there is also an ecological emergency. In all these situations the Churches of Asia are laying seeds of hope that help the fatigue of many churches of the West. Even God was born in an emergency.

Rome (AsiaNews) - Christmas 2011 approaches marked by emergencies. First, the economic crisis that is choking the whole world. Beyond the numbers and percentages, the often incomprehensible jargon of the financial newspapers, it is consuming the life and livelihoods of millions of people who are unemployed and eroding the fragile unity of nations, once held together by the desire for well-being and possible opportunities to achieve it.

Even in China, more than half of its millionaires are planning to leave the country in order to invest and live in safer places for their wealth, more law-abiding nations, with fewer tensions and social unrest. After having enriched themselves leaving the rest of the population in poverty, after using the Communist Party to accumulate their riches, and after making China the most polluted country on earth, they are now looking for a quiet place to enjoy luxury and tranquility.

But it is doubtful that they will find one: the economic emergency is afflicting all four corners of the planet and everywhere people are anxious about their present and future.

There is also an ecological and weather emergency. This year the world - and Asia in particular – has witnessed earthquakes in Japan, Indonesia, Turkey, the tsunami that swept away the lives of tens of thousands of Japanese people, putting the survival of the nation at risk with the ensuing nuclear crisis in Fukushima , floods in Southeast Asia which for months have tried the patience of Thais, Filipinos, Vietnamese, Laotian, Burmese, destroying the rice fields, their main source of nourishment, and blocking industrial development.

But the real emergency is that of God and man. Man who does not see the world as a created gift, who considers his fellow being as prey, and the earth as a land of conquest. He who eliminates God from his horizon, eliminates mankind, subjecting it to his power and humiliating it. There is an emergency for the respect of man, for his dignity, his civil and religious liberty. In this, the atheist and materialist world in the West and East, that bows to the god of finance, blends seamlessly with the intransigence of Islamic fundamentalist or other (abused) religions, to affirm the supremacy of one group, the power a few over the multitude.

The Christmas of more than 2000 years ago was also a Christmas of emergency. Caesar Augustus had decided a census "of all the earth", perhaps to measure his power, perhaps to calculate an increase in taxes on his subjects to guarantee them peace in exchange for submission.

Even the birth of the Son of God took place in a state of emergency: during a journey to Bethlehem, in a stable because "there was no place for them in the inn". Neither were the first months of his life, or early years, easy: surrounded by violence, the massacre of the innocent little saints, persecuted, like a refugee fleeing to safer ground ...

No, God is no stranger to emergencies: he knows them from the beginning of his adventure on earth and has crossed them all to his very death. Upon a mankind terrified by them, He poured the gift of His life, His truth and His love.

If God is born, all emergencies have a meaning, which is a love which is stronger than everything and everyone.

Without Him, it becomes foolishly reasonable to rely on the Mayan calendar that promises the destruction of earth and man, throwing away all hope and taking the side of those who want to destroy people and things.

For over 2000 years the Church has proclaimed the victory of God’s truth and love over desperation. In our daily work, reporting on the witness of the Church in Asia, we are amazed at the signs of hope that Christians can offer in the most extreme circumstances: in constantly remembering the bishops and priests detained in Chinese or Vietnamese prisons, in the commitment to charity towards the victims of earthquakes and floods; in offering friendship to the youth of the Arab world who are searching for greater dignity and a future, claiming freedom and space in fundamentalist regimes. We hope that something of this vital spring of the Churches in Asia communicates itself to the Churches of the West for the task of new evangelization assigned by Benedict XVI. By now no emergency has the power to immobilize us because the loving power of Jesus Christ abides in them all.

Merry Christmas.


   
Best Regards,



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 18:40 น. ข่าวสดออนไลน์


"ไก่อู" ซัด "มาร์ค-เทือก" สั่งพ.ค.เลือด

‘ไก่อู’ให้ปากคำ‘พ.ค.เลือด’



ทหารยัน′มาร์ค-เทือก′สั่งการ

รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจาก พ.อ.สรรเสริญ แล้ว ยังมี พ.อ.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ เสธ.ร.2 รอ. ซึ่งเป็นผู้นำกำลังมาขอคืนพื้นที่ และ ส.อ.มณี พรหมนอก สังกัด ร.2 พัน.3 รอ. โดย พ.อ.สรรเสริญ ให้การกับพนักงานสอบสวนอย่างละเอียด เกี่ยวกับโครงสร้างการบังคับบัญชาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเน้นย้ำว่าภารกิจของทหารนั้น จะต้องดูแลเรื่องความมั่นคงของชาติ ปกป้องอธิปไตยตามแนวชายแดน โดยปกติทหารไม่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ภายในเขตเมือง หรือในเขตกทม. เลย แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทหารต้องเข้ามาเกี่ยว จึงไม่ใช่การทำตามภารกิจของทหาร แต่มาจากคำสั่งของศอฉ. ขณะเดียวกัน ศอฉ.ไม่ใช่องค์กรที่กำเนิดขึ้นมาเอง แต่มีขึ้นโดยคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ขณะนั้น และมีนายสุเทพ รองนายกฯ ขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการ

พ.อ.สรรเสริญให้การต่อไปว่า กรณีที่ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่มีผู้ชุมนุมดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้โดยทั่วไป แต่เป็นเรื่องเฉพาะกิจ เพราะอำนาจปกติของทหารนั้น จะไม่สามารถนำกำลังพลพร้อมอาวุธเข้ามาปฏิบัติการในเมืองได้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีคำสั่งพิเศษ มีอำนาจจากศอฉ.เป็นผู้สั่งการ ซึ่งก็หมายถึงนายกฯ และรองนายกฯ ขณะนั้น ไม่เช่นนั้นแล้วทหารจะไม่สามารถเข้าปฏิบัติการได้ เพราะกองทัพเองไม่มีอำนาจที่จะออกคำสั่งให้ปฏิบัติการในเมืองเช่นนี้ได้

ชี้เสธ.ไก่อูพยานปากสำคัญ

ข่าวแจ้งอีกว่า พนักงานสอบสวนได้ทยอยสอบปากคำพยานผู้เกี่ยวข้อง ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ทหารระดับปฏิบัติการไปแล้วหลายปาก กรณี พ.อ.สรรเสริญถือเป็นพยานปากสำคัญที่นั่งทำงานอยู่ในศูนย์ปฏิบัติการ สามารถให้รายละเอียดในลักษณะโครงสร้างของการสั่งการทั้งหมดได้ ซึ่งคำให้การของ พ.อ.สรรเสริญทำให้สำนวนคดีมีความคืบหน้าไปมาก เชื่อมโยงถึงระดับสั่งการ และคำให้การพาดพิงถึงนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ อย่างชัดเจน อีกทั้ง พ.อ.สรรเสริญ ยังให้การย้ำว่าอำนาจของกองทัพเองจะไม่สามารถเข้ามาปฏิบัติการได้เช่นนี้ ทั้งหมดจึงเป็นคำสั่งของศอฉ.ทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับกองทัพแต่อย่างใด

ต่อมา พ.อ.สรรเสริญ ให้สัมภาษณ์ถึงการให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนว่า มีพนักงานสอบสวนมาสอบปากคำจำนวนกว่า 30 นาย จาก 6 ท้องที่ ที่ห้องประชุมใหญ่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ในฐานะพยานปากหนึ่ง ในเรื่องของการปฏิบัติภารกิจทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต โดยพนักงานสอบสวนสอบถามถึงภารกิจของหน่วยงานทหาร ว่าแนวทางการปฏิบัติงานเป็นอย่างไร รับคำสั่งอย่างไร มีการวางแผนการปฏิบัติอย่างไร และขั้นตอนการปฏิบัติอย่างไร ล้วนเป็นเรื่องที่เคยชี้แจงสังคมไปหมดแล้ว

‘ธิดา’ฝากทหารทำแบบ′ไก่อู′

ที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว นางธิดา โตจิราการ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณี พ.อ.สรรเสริญให้ปากคำพนักงานสอบสวนคดีสลายม็อบว่าได้รับคำสั่งจากนายอภิสิทธิ์ นายกฯ ขณะนั้น ว่า จากคำให้การดังกล่าว เราก็เชื่ออยู่แล้วว่านายอภิสิทธิ์ต้องเป็นผู้สั่งการครั้งนั้น และเรายังมีหลักฐานเอกสารคำสั่งด้วย ลงนามโดยนายสุเทพ หากคำสั่งไม่ออกมา ทหารก็ไม่กล้าทำ ขนาดน้ำท่วมตอนนี้ ทหารที่ออกมารับคน เราจะใช้ไปที่อื่น ก็บอกว่ายังไม่มีคำสั่ง จึงไม่มีอะไรน่าสงสัยว่า พ.อ.สรรเสริญจะให้การแบบนี้ ขอฝากไปยังทหารทุกคนควรออกมาทำแบบ พ.อ.สรรเสริญ ออกมาช่วยยืนยัน



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7685 ข่าวสดรายวัน


เพื่อไทยถอย แก้รธน.-นิรโทษ

ครม.ปรับ เบี้ยกมธ. สส.-สว.


เจ๊แดงโต้ถกพี่ชายปรับครม.

ที่พรรคเพื่อไทย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศสิงคโปร์ ท่ามกลางกระแสข่าวไปหารือเพื่อปรับครม. ว่า ไม่เกี่ยวกัน ไปพบในฐานะพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันนานก็คิดถึง เมื่อพี่ชายมาอยู่ใกล้ๆ

ก็ไปหาเอาอาหารลาวภาคหนือในถานะคนเชื้อสายนี้เช่นข้าวเหนี้ยว ไก่ย่าง ตำหมากฮู่งไปฝาก
ก็ไปหาเอาอาหารลาวภาคหนือในถานะคนเชื้อสายนี้เช่นข้าวเหนี้ยว ไก่ย่าง ตำหมากฮู่งไปฝาก
ก็ไปหาเอาอาหารลาวภาคหนือในถานะคนเชื้อสายนี้เช่นข้าวเหนี้ยว ไก่ย่าง ตำหมากฮู่งไปฝาก
ก็ไปหาเอาอาหารลาวภาคหนือในถานะคนเชื้อสายนี้เช่นข้าวเหนี้ยว ไก่ย่าง ตำหมากฮู่งไปฝาก
ก็ไปหาเอาอาหารลาวภาคหนือในถานะคนเชื้อสายนี้เช่นข้าวเหนี้ยว ไก่ย่าง ตำหมากฮู่งไปฝาก

ไปพร้อมกับนายวราเทพ รัตนากร อดีตกรรม การบริหารพรรคไทยรักไทย แต่รีบไปรีบกลับเพราะต่างคนต่างยุ่ง มีงานมาก

นางเยาวภากล่าวว่า ไม่ได้คุยถึงเรื่องการเมือง รวมทั้งเรื่องปรับครม. เพราะอยากให้พ.ต.ท. ทักษิณ สบายใจ อีกทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ยังห่างไกลข้อมูลที่เมืองไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยากกลับเมืองไทยอยู่เสมอ เป็นธรรมดาของคนที่จากบ้านไปอยู่ที่อื่นนานๆ ก็คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกลับมาเร็วๆ นี้ ...............

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7685 ข่าวสดรายวัน


อักษรลาว

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com




ต้องการทราบว่าอักษรลาวมาจากไหน เหมือนหรือต่างจากของไทยอย่างไรบ้าง

กุลศักดิ์

ตอบ กุลศักดิ์

อักษรลาวเป็นชื่ออักษรที่รัฐบาลลาวรับรองให้ใช้เขียนภาษาลาว ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการในปัจจุบัน มีพัฒนาการมาจากอักษรไทยน้อย (หรือในอีกชื่อหนึ่งคืออักษรลาวเดิม) ซึ่งเริ่มพัฒนาขึ้นในสมัยราชวงศ์ล้านช้าง เมื่อราว พ.ศ.1900 โดยมีพื้นฐานมาจากอักษรพื้นฐานเดียวกับอักษรไทย เผยแพร่เข้าสู่ประเทศลาวทางศาสนาพุทธนิกายลังกาวงศ์ (เถรวาท) มี 2 แบบคือ อักษรลาว (อักษรลาวโบราณ ภาษาลาวเรียกว่า อักษรลาวเดิม ในประเทศไทยเรียกว่า อักษรไทยน้อย พบในภาคอีสานของไทยด้วย) และอักษรธรรมลาว อักษรลาวแปลงมาจากอักษรเทวนาครีที่ใช้ในประเทศอินเดียตอนเหนือ และยืมโดยปราชญ์ชาวเขมร

ทั้งนี้ มีความเห็นต่างกันไปเกี่ยวกับวิวัฒนาการของอักษรลาว ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดซ์ ให้ความเห็นว่า อักษรลาวน่าจะมีที่มาจากอักษรของพ่อขุนรามคำแหง เกิดขึ้นที่เมืองสุโขทัย แล้วแพร่หลายไปยังเมืองที่ติดต่อกันในดินแดนล้านนาและล้านช้าง แต่ภายหลังตัวอักษรไทยในดินแดนล้านช้างได้เปลี่ยนเป็นตัวลาว ด้านนักวิชาการลาวเชื่อว่าคนลาวที่อยู่ในดินแดนล้านช้างมีอักษรเป็นของตนเองมานาน อักษรลาวคล้ายกับตัวอักษรไทยเพราะวิวัฒนาการมาจากอักษรเทวนาครี ขณะที่ปราชญ์ มหาสิลา วีระวงส์ เห็นว่าชาติลาวมีตัวหนังสือของตัวเองมาหลายร้อยปี หรืออาจจะเป็นพันปีก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยอักษรลาวเป็นอักษรไทพวกหนึ่งที่เรียกว่าอักษรไทยน้อย ซึ่งได้กลายเป็นหนังสือลาวในเวลาต่อมา อักษรไทยน้อยนี้น่าจะมีที่มาจากอักษรเทวนาครีของอินเดีย ดังกล่าว

ระบบการเขียนภาษาลาว มีวิวัฒนาการ 3 แบบดังนี้ 1.แบบของท่านมหาสิลา วีระวงส์ หรือแบบพุทธบัณฑิตสภาจันทบุรี ซึ่งได้คิดตัวอักษรเพิ่มเติมให้ครบวรรคในภาษาบาลี เพื่อสะดวกในการเขียนเรื่องทั้งทางโลกและทางธรรม จากเดิมที่ยุ่งยากในการจัดทำตัวพิมพ์อักษรธรรมลาวเพื่อเขียนเรื่องทางศาสนา อักขรวิธีแบบนี้สะกดตามเค้าเดิมของภาษาอย่างเคร่งครัด ใช้ตัวสะกดตัวการันต์ เพื่อให้รู้ต้นเค้าของคำว่าเป็นคำภาษาลาวเดิมหรือคำภาษาต่างประเทศ เช่น คำภาษาบาลี-สันสกฤต ซึ่งคล้ายกับระบบการเขียนภาษาไทยในปัจจุบัน ระบบการเขียนแบบนี้เคยใช้ในสมัยที่ประเทศลาวยังไม่มีระบบการเขียนที่แน่นอน ขณะที่ลาวยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส จนถึงปี พ.ศ.2491

2.แบบของท่านสมจีน ป.งิน สะกดตามแบบที่ได้กำหนดในพระราชโองการ (พระราชบัญญัติ) เลขที่ 10 พ.ศ.2491 รัชสมัยของพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อกำหนดหลักการเขียนภาษาลาวให้มีความแน่นอนและชัดเจนขึ้น อักขรวิธีของระบบนี้คือ สะกดคำตามเสียงอ่านแต่ยังคงรักษาเค้าเดิมของภาษาไว้ การสะกดการันต์ยังคงมีการใช้ แต่ได้เลิกใช้อักษรบางตัวลงจากแบบแรกเพื่อให้เขียนง่ายขึ้น อักษรลาวรูปแบบนี้ใช้อยู่ในช่วงปี พ.ศ.2491-2518 คือ นับตั้งแต่ประเทศลาวได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปัจจุบันยังคงใช้อยู่ในกลุ่มคนลาวอพยพในต่างประเทศ

3.แบบของท่านพูมี วงวิจิด อักขรวิธีแบบนี้สะกดตามเสียงอ่านเท่านั้น คืออ่านออกเสียงอย่างไรให้สะกดอย่างนั้น เริ่มใช้ในเขตปลดปล่อยของขบวนการปะเทดลาวก่อน หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วรัฐบาลได้ปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้เขียนง่ายอ่านง่ายขึ้น แต่ก็เกิดปัญหาทำให้ภาษาลาวขาดหลักการสะกดคำที่ชัดเจนอีกครั้ง เช่น ตัดตัวการันต์ ตัว ร หันลิ้น (ภาษาลาวเรียกว่า ร รถ) ออก ทำให้ไม่สามารถเขียนคำที่มาจากภาษาต่างประเทศและภาษาของชนเผ่าต่างๆ ได้ครบถ้วน อักษรลาวระบบนี้เริ่มใช้ตั้งแต่ลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2518 ถึงปัจจุบัน โดยกระทรวงศึกษาธิการลาวได้บรรจุตัว ร หันลิ้นกลับมาใช้ใหม่ และใช้ตัวการันต์สำหรับสะกดคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ ยกเว้นคำที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต และคำลาวเดิม ยังสะกดตามเสียงอ่านอยู่เหมือนเดิม

อักษรลาวประกอบด้วยพยัญชนะเดี่ยว 27 รูป อักษรคู่ 6 รูป (รวม 33 รูป) สระ 28 รูป มีเสียงวรรณยุกต์ 4 เสียงซึ่งขึ้นกับพื้นเสียงของพยัญชนะ การเขียนยึดสำเนียงเวียงจันทน์เป็นหลัก ไม่มีระบบการถอดเป็นอักษรโรมันที่แน่นอน นิยมใช้ระบบถ่ายเสียงของภาษาฝรั่งเศส ระบบการเขียนเข้าใจง่าย เพราะเขียนตามเสียงโดยตรง

หน้า 24

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

กางทรัพย์สินมหาเศรษฐี เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าดัง Uniqlo (โคตร)รวยที่สุดในญี่ปุ่น วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16:19:32 น. matichon

Tadashi Yanai ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Fast Retailing ซึ่งมี Uniqlo เป็นหนึ่งในบริษัทลูก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการเปิดเผยของเว็บไซต์ marumura ซึ่งอ้างอิง การจัดอันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด 40 อันดับแรกของประเทศญี่ปุ่น ประจำปี 2011 ( Japan Billionaires 2011) ผ่านทางเว็บไซต์ และจากการจัดอันดับของ ฟร็อบส์ นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจและการเงินในสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2011 ปรากฎว่า ผู้ที่รวยที่สุด เป็นอันดับที่ 1 ในญี่ปุ่น ได้แก่ นาย Tadashi Yanai (柳井 正) ในวัย 60 ปี ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Fast Retailing ซึ่งมี Uniqlo เป็นหนึ่งในบริษัทลูก โดยมีทรัพย์สินทั้งหมด คิดเป็นเงิน 9.2 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ


ทั้งนี้ นาย Tadashi Yanai ได้เปิดร้าน Uniqlo เป็นครั้งแรกที่เมืองฮิโรชิม่าในปี 1984 ก่อนที่จะเริ่มขยายสาขาสู่ฮ่องกง เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกาในปี 2010 สำหรับประเทศไทยนั้นได้ต้อนรับ Uniqlo ถึง 3 สาขาในปี 2011 คือที่ Central World, Central Plaza ลาดพร้าว และ Central Plaza Grand พระราม 9

อันดับ 2 คือ นาย Nobutada Saji (佐治 信忠) ประธานบริหาร Suntory Ltd. ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของญี่ปุ่น รวมทั้งมีธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหาร นอกจากนี้ยังเป็นผู้อำนวยการ Nippon Venture Capital Co., Ltd. โดยเขามี ทรัพย์สิน 8.6 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 3 นาย Akira Mori (森 章) ประธานและผู้บริหาร Mori Trust ผู้มีทรัพย์สิน 6.1 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่นาย Taikichiro Mori บิดาของเขาซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Mori Building ได้เสียชีวิตลง พี่ชายของเขานาย Minoru Mori (มหาเศรษฐีญี่ปุ่นอันดับ 20) ก็ดูแลในส่วนของ Mori Building company ขณะที่นาย Akira ก็เข้ามาดูแลในส่วนของ Mori Trust

อันดับ 4 นาย Masayoshi Son (孫正義) ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารบริษัท SoftBank Capital รวมถึง SoftBank Mobile เครือข่ายด้านโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น มี ทรัพย์สิน 5.6 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 5 นาย Kunio Busujima (毒島 邦雄) ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Sankyo ผู้ผลิตเครื่องเล่นปาจิงโกะชื่อดังหนึ่งในสามแห่งของญี่ปุ่น โดยเขามีทรัพย์สิน 5.3 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 6 นาย Hiroshi Mikitani เป็นประธานบริหารของธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตชื่อดัง Rakuten, Inc. ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจหลัก 6 อย่าง คือ E-Commerce, Credit & Payments, Portal & Media, Travel, Securities และ Professional Sports มีทรัพย์สิน ทรัพย์สิน 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 7 นาย Hiroshi Yamauchi (山内 溥) ประธานบริษัท Nintendo ตั้งแต่ปี 1949 – 2002 หลังจากนั้นก็กลายมาเป็นประธานบอร์ดบริหารจนถึงปี 2005 แต่ก็ยังคงมีหุ้นอยู่ในบริษัท รวมทั้งยังเป็นเจ้าของทีมเบสบอลชื่อดัง Seattle Mariners ในปี 1992 มีทรัพย์สิน 3.8 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 8 นาย Eitaro Itoyama (糸山 英太郎) เจ้าของสนามกอล์ฟถึง 9 แห่ง, Mitsubishi Heavy Industries และซึ่งแม้จะออกจากการเป็นประธานสายการบิน Japan Airlines มาเมื่อ 5 ปีก่อน ก็ยังคงเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ JAL อยู่ นอกจากนี้นายอิโตยามะยังเคยเป็นสมาชิกสภาไดเอ (Diet) ของญี่ปุ่นถึง 4 สมัย มีทรัพย์สิน 3.4 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 9 นาย Takemitsu Takizaki ประธานบริษัท Keyence ผู้ผลิต Laser sensors, Code readers, รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับสายการผลิตอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลาง มีทรัพย์สิน 2.9 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 10 นาง Hiroki Takei ภรรยาม่ายของ Yasuo Takei ผู้ก่อตั้งบริษัทการเงิน Takefuji ซึ่งปัจจุบันนี้มีนาย Taketeru Takei บุตรชายเป็นผู้จัดการบริหาร มี ทรัพย์สิน 2.5 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 11 นาย Masahiro Miki ผู้ก่อตั้งร้านขายรองเท้าราคาพิเศษ ABC Mart ใครอยากจะซื้อรองเท้าก็มักจะถึงร้านนี้ เพราะราคาไม่แพงมาก และมีสินค้าใหม่ๆ เข้ามาเสมอๆ โดย ABC Mart มีการเปิดสาขาใหม่และเปิดไลน์สินค้าเกี่ยวข้องกับรองเท้าอย่างต่อเนื่อง มี ทรัพย์สิน 2.1 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 12 นาย Keiichiro Takahara ผู้ก่อตั้งบริษัท Unicharm Corporation ผู้ผลิตผ้าอ้อมเด็ก กระดาษอนามัย และมีตลาดทั่วเอเชีย ทั้งอินโดนีเซีย ไต้หวัน จีน และไทย มี ทรัพย์สิน 1.95 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 13 นาย Shigenobu Nagamori ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารบริษัทในเครือ Nidec Corporation ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์เพื่อโรงงานอุตสาหกรรม ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1973 และมีบริษัทในเครือมากมาย มี ทรัพย์สิน 1.9 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 14 นาย Masatoshi Ito (伊藤 雅俊) ประธานบริษัท Ito-Yokado Group เจ้าของ 7-Elevens มากกว่า 10,000 แห่งในญี่ปุ่นและอีก 5,800 แห่งในอเมริกาเหนือ รวมถึงห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต อีกกว่า 1,000 แห่ง มี ทรัพย์สิน 1.85 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 15 นาย Yokyu Kanazawa ดำเนินธุรกิจ Sanyo Bussan ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในเรื่องการผลิตเครื่องเล่นการพนัน เช่น ตู้ปาจิโกะ แล้วยังมีธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ตกปลา รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และมักจะเกี่ยวข้องกับทะเล มี ทรัพย์สิน 1.8 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 16 นาย Katsumi Tada ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Daito Trust Construction ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น และโดดเด่นเรื่องอพาร์ทเมนต์ให้เช่า มี ทรัพย์สิน 1.75 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 17 นาย Han Chang-Woo นักธุรกิจชาวเกาหลี ประธานบริษัท Maruhan Corp. เจ้าของเครือข่ายปาจิงโกะ (Pachinko) ยักษ์ใหญ่ที่ถูกต้องตามกฎหมายของญี่ปุ่น ซึ่งเปิดมานานกว่า 50 ปี แล้วนายฮันก็ยังมีโรงแรมคาสิโนในมาเก๊า ธนาคารพาณิชย์ในกัมพูชา และธุรกิจอีกหลายรูปแบบ มีทรัพย์สิน 1.7 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 18 นาย Yoshikazu Tanaka ผู้พัฒนาระบบ Social Networking Service GREE และก่อตั้ง GREE, Inc. จนประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และได้เคยถูกบันทึกใน “Asia’s Youngest Self-Made Billionaire” รวมถึง “World’s Second-Youngest Self-Made Billionaire” ต่อจาก Mark Zuckerberg ผู้พัฒนา Facebook ปัจจุบันเขาเป็นเศรษฐีญี่ปุ่นที่มีอายุเพียง 34 ปีเท่านั้น มี ทรัพย์สิน 1.6 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 19 นาย Soichiro Fukutake (福武總一郎) ประธานบริษัท Beness Corporation ที่ดำเนินธุรกิจด้านการศึกษาทางไกลและโรงเรียนกวดวิชาในญี่ปุ่น โดยมี Berliz International Inc. ของสหรัฐเข้าร่วมในปี 2001 และนาย Fukutake ยังดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของ UNICEF ญี่ปุ่นอีกด้วย มี ทรัพย์สิน 1.4 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 20 นาย Minoru Mori (森 稔) ผู้ทรงอิทธิพลในญี่ปุ่นด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริหารของตึกโมริ (Mori Building) โปรเจกยักษ์ของนายโมริก็มี Roppongi Hills, Omotesando Hill, รวมถึงตึกที่สูงที่สุดในประเทศจีน Shanghai World Financial Center ด้วย มี ทรัพย์สิน 1.35 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ







__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

"วิชัย ทองแตง"ทนายทักษิณ รวยพุ่งแชมป์เศรษฐีหุ้น อันดับ 4"อิ๊ง-เอม"อู้ฟู่วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 13:35:41 น.

Share14

ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์


พินทองทา ชินวัตร


เปิดทำเนียบ 500 เศรษฐีหุ้นไทย 2011 ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ แห่งพฤกษา รั้งตำแหน่งแชมป์เป็นปีที่ 2 รวย 1.9 หมื่นล้าน ตามด้วยอันดับ 2 อนันต์ อัศวโภคิน ค่าย L&H รวย 1.5 หมื่นล้าน ด้านคีรี กาญจนพาสน์ เจ้าพ่อ BTS ครองหุ้นรวม 1.3 หมื่นล้าน ผู้ถือหุ้นใหญ่ BGH วิชัย ทองแตง - น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ - สาธิต วิทยากร ผงาดขึ้นอันดับ 4-6 เผยพิษวิกฤติหนี้ยุโรปฉุดตลาดหุ้นดิ่งทั่วโลก ทำเศรษฐีหุ้นไทยจนลง 2.4 หมื่นล้าน


นับเป็นปีที่ 18 แล้ว ที่ วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของเศรษฐีหุ้นในปี 2554 ซึ่งวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดก่อนวันที่ 30 กันยายน 2554 จำนวน 5,480 ราย มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวมทั้งสิ้น 666,075 ล้านบาท ลดลงจากปี 2553 ถึง 24,156 ล้านบาท หรือ 3.5% เท่ากับจนลงเฉลี่ยวันละ 66.18 ล้านบาท



สาเหตุหลักที่ความมั่งคั่งของ 500 เศรษฐีหุ้นไทยลดลง เนื่องจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2554 ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณมูลค่าการถือครองหุ้นของบรรดาเศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2554 ตกลงจาก 975.30 ในปี 2553 มาอยู่ที่ 916.21 โดยลดลง 59.09 จุด หรือ 6.06% และส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ลดลงเหลือ 7,502,277.19 ล้านบาท โดยมีมูลค่าลดลงถึง 390,807.82 ล้านบาท จาก Market Cap ในปี 2553 ที่ 7,893.085.01 ล้านบาท



ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติหนี้ในกลุ่มประเทศยุโรปที่มีปัญหายาวนานมาเป็นเวลากกว่า 1 ปีครึ่ง โดยมีจุดเริ่มต้นที่ประเทศกรีซ ซึ่ง ณ เวลานี้ กำลังแบกรับระดับหนี้สาธารณะที่สูงกว่า 160% ของจีดีพี แม้ว่าผู้นำของประเทศสมาชิกยูโรโซนใช้ความพยายามในการแก้ไข และประคับประคองสถานการณ์วิกฤติหนี้ยุโรป เพื่อสกัดและลดความเสี่ยงของการลุกลามของปัญหาไปยังประเทศสมาชิกยูโรโซนอื่นๆ แต่ก็ยังไม่สามารถยุติปัญหาได้จนถึงปัจจุบัน



สำหรับผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยใน วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2554 ปรากฏว่า ตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2554 ตกเป็นของ ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS)



ซึ่งเป็นการครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 โดยถือครองหุ้นมูลค่ารวม 18,520.34 ล้านบาท จากการถือหุ้น PS ในสัดส่วน 58.66% มูลค่า 18,516.57 ล้านบาท และหุ้น บมจ.ซีพโก้ (SEAFCO) บริษัทรับก่อสร้างงานฐานรากและงานโยธาทั่วไป ในสัดส่วน 0.66% มูลค่า 3.77 ล้านบาท



ความมั่งคั่งของ ทองมา แชมป์เศรษฐีหุ้นในปีนี้ มีมูลค่าลดลงถึง 12,901.92 ล้านบาท หรือ 41.06% สาเหตุสำคัญเนื่องมาจากราคาหุ้น PS ปรับลดลง 10 บาท หรือ 41.15% จาก 24.30 บาท มาอยู่ที่ 14.30 บาท ในวันที่ 30 กันยายน 2554



เศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ได้แก่ อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อดีตแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย 7 ปีซ้อน ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 15,490.82 ล้านบาท รวยลดลง 2,144.49 ล้านบาท หรือ 12.16%



อนันต์ ถือหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) 23.76% มูลค่า 15,487.16 ล้านบาท และ บมจ.แมนดาริน โฮเต็ล (MANRIN) 1.36% มูลค่า 3.66 ล้านบาท ซึ่งราคาหุ้นของทั้ง 2 บริษัทที่อนันต์ถือครองนั้นล้วนแต่ปรับตัวลดลง โดย LH ลดลง 0.90 บาท จาก 7.40 บาท เหลือ 6.50 บาท และ MANRIN ลดลง 0.30 บาท จาก 1.30 บาท เหลือ 10 บาท



ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้น นอกจากนี้ยอดจองบ้านในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่รอนโยบายบ้านหลังแรกและนโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐบาล จึงชะลอการตัดสินใจซื้อ และยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวลงอีก ด้วยผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา



ส่วนเศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ได้แก่ คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) โดยถือหุ้น BTS ในสัดส่วน 37.77% รวมมูลค่า 12,742.83 ล้านบาท ลดลง 5,073.31 ล้านบาท หรือ 28.48%



สำหรับเศรษฐีหุ้นอันดับ 4-6 ในปีนี้ ตกเป็นของ 3 ผู้ถือหุ้นใหญ่ ของ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) โดยเศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ได้แก่ วิชัย ทองแตง ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 11,804.14 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้น BGH ในสัดส่วน 12.17% มูลค่า 11,532.14 ล้านบาท และหุ้น บมจ.ปุ๋ยเอ็นเอฟซี (NFC) 8.04% มูลค่า 272 ล้านบาท



เมื่อปีที่แล้ว วิชัย เป็นเศรษฐีหุ้นในอันดับ 391 โดยถือเพียงแค่หุ้น NFC เท่านั้น แต่มาในปีนี้ วิชัย ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของ BGH ส่งผลให้มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นอันดับ 4 หรือรวยขึ้น 11,532.14 ล้านบาท คิดเป็น 4,239.76%



เศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ได้แก่ น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ หรือ หมอเสริฐ ก้าวขึ้นมาจากอันดับ 11 ในปี 2553 โดยถือครองหุ้นรวมมูลค่า 9,870.25 ล้านบาท รวยขึ้น 3,772.17 ล้านบาท หรือ 61.86% ประกอบด้วยหุ้น BGH 10.39% มูลค่า 9,854.15 ล้านบาท และหุ้น บมจ.โรงพยาบาลนนทเวช (NTV) 0.79% มูลค่า 16.10 ล้านบาท



เศรษฐีหุ้นอันดับ 6 ได้แก่ สาธิต วิทยากร ก้าวขึ้นจากอันดับ 14 เมื่อปีที่แล้ว ด้วยการถือครองหุ้น BGH สูงเป็นอันดับ 2 รองจากวิชัย ในสัดส่วน 10.01% รวมมูลค่า 9,483.62 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 4,245.37 ล้านบาท หรือ 81.05%



ทั้งนี้ในรอบปีที่ผ่านมาราคาหุ้นของ BGH ได้ปรับตัวเพิ่มสูงมาก จาก 39.50 บาท ขึ้นมาเป็น 64.00 บาท เพิ่มขึ้น 24.50 บาท หรือ 62.03%% ส่งผลให้บรรดาผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 3 รายรวยขึ้นมาติดอันดับ 4-6 กันถ้วนหน้า



ด้านทายาทโอสถสภา นิติ โอสถานุเคราะห์ ขึ้นจากอันดับ 6 มาอยู่อันดับ 7 ในปีนี้ ถือครองหุ้น 14 บริษัท มูลค่ารวม 7,569.66 ล้านบาท ลดลง 131.60 ล้านบาท หรือ 1.71%





ส่วนเศรษฐีหุ้นอันดับ 8 ตกลงมาจากอันดับ 7 เมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ เจ้าของธุรกิจเสื้อชั้นในยี่ห้อ “ซาบีนา” วิโรจน์ ธนาลงกรณ์ โดยถือครองหุ้นมูลค่าเท่ากับปีที่แล้ว 6,328.48 ล้านบาท ประกอบด้วย หุ้น บมจ.ซาบีน่า (SABINA) 74.59% มูลค่ารวม 5,728.47 ล้านบาท และ บมจ. เซ็นทรัลอุตสาหกรรมกระดาษ (CPICO) 21.74% มูลค่า 600 ล้านบาท



เศรษฐีหุ้นอันดับ 9 หล่นจากอันดับ 5 เมื่อปีก่อน ได้แก่ เจ้าของสยามแก๊ส วรวิทย์ วีรบวรพงศ์ ถือหุ้น บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) 54.13% รวมมูลค่า 5,708.17 ล้านบาท ลดลง 3,085.50 ล้านบาท หรือ 35.09% จากการที่ราคาหุ้น SGP ลดลง 6.00 บาท จาก 17.10 บาทเมื่อปีที่แล้วมาเหลือ 11.10 บาทในปีนี้



ด้านประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย (SPALI) ปีนี้ก้าวขึ้นมาติด 1 ใน 10 เศรษฐีหุ้นไทยได้สำเร็จ โดยก้าวขึ้นจากอันดับ 20 เมื่อปีที่แล้วมาอยู่อันดับ 10 ในปีนี้ โดยถือครองหุ้นรวมมูลค่า 5,421.99 ล้านบาท รวยขึ้น 870.07 ล้านบาท หรือ 19.11%



ส่วนตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2554 ได้แก่ ตระกูลมาลีนนท์ ที่ครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 13 รวมมูลค่าความมั่งคั่ง 33,805.47 ล้านบาท ลดลง 10,370.99 ล้านบาท หรือ 41.08% เนื่องจากราคาหุ้น บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) ปรับตัวลดลงจาก 38.75 บาทเหลือ 36.75 บาทในปีนี้



ตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ยังเป็นของตระกูลวิจิตรพงศ์พันธุ์เช่นเดียวกับปีที่แล้ว โดยครอบครัววิจิตรพงศ์พันธ์ ถือครองหุ้น บมจ.พฤกษา (PS) รวมมูลค่า 22,166.84 ล้านบาท รวยลดลงถึง 15,451.92 ล้านบาท หรือ 41.08%



ตระกูลจิราธิวัฒน์ แห่งเซ็นทรัล ปีนี้ขึ้นจากอันดับ 5 มาอยู่ในอันดับ 3 โดยเครือญาติในตระกูล 26 คน ถือครองหุ้นรวมกันทั้งสิ้น 21,340.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,015.39 ล้านบาท หรือ 16.45%

ด้านตระกูลอัศวโภคิน ปีนี้ตกลงไปอยู่อันดับ 4 โดย 7 เครือญาติ ถือครองหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บมจ.แมนดาริน โฮเต็ล (MANRIN) และ บมจ.เอพี พร๊อพเพอร์ตี้ (AP) รวมมูลค่าทั้งสิ้น 18,567.45 ล้านบาท ลดลง 3,301.45 ล้านบาท หรือ 15.10%



สำหรับตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ได้แก่ ตระกูลทองแตง ที่ก้าวกระโดดขึ้นมาจากอันดับ 297 เมื่อปีที่แล้ว โดยถือครองหุ้นรวมมูลค่า 15,328.38 ล้านบาท มั่งคั่งเพิ่มขึ้น 15,016.93 ล้านบาท หรือ 4,821.59% ประกอบด้วยหุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH), บมจ.โรงพยาบาลนนทเวช (NFC) และ บมจ.ไดโดมอน กรุ๊ป (DAIDO)



ส่วนตระกูลชินวัตร ยังคงเหลือ 2 ทายาทของ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ติดอันดับเศรษฐีหุ้นในปีนี้ ได้แก่ ลูกสาวคนเล็ก แพทองธาร ชินวัตร (อิ๊ง) เศรษฐีหุ้นอันดับ 51 ถือหุ้น บมจ.เอสซี แอสเซท (SC) 29.61% มูลค่า 2,094.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 576.55 ล้านบาท หรือ 37.97% และลูกสาวคนกลาง เอม พินทองทา ชินวัตร เศรษฐีหุ้นอันดับ 52 ถือหุ้น SC 28.66% มูลค่า 2,027.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 557.95 ล้านบาท หรือ 37.97% ส่งผลให้ตระกูลชินวัตรก้าวขึ้นจากอันดับ 39 เมื่อปีที่แล้ว มาอยู่อันดับ 30 ในปีนี้ โดย 2 ทายาทสาวถือหุ้นรวมมูลค่า 4,121.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,134.49 ล้านบาท หรือ 37.97%




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ກຽ່ວຂ້ອງໃນຂ່າວນີ້ອະທິບາຍເພີ້ມແດ່.

ວັນສຸກທີ 16 ທັນວາ 2011 ນີ້ ເລີ່ມແຕ່ເວລາ 17:30 ໂມງເປັນຕົ້ນໄປ ຈະໄດ້ມີການໂຮມຊຸມນຸມຄັ້ງໃຫ່ຍ ຂໍຢໍ້າ (ຄັ້ງໃຫ່ຍ)ອີກເທີ່ອໜຶ່ງໃນປະຫວັດສາດລາວເຮົາ ຢູ່ທີ່ເດີ່ນພະທາດຫຼວງວຽງຈັນ ນຳໂດຍພະນະທ່ານ ບົວສອນ ບຸບຜາວັນ ອະດີດນາຍົກລັຖມົນຕີລາວເຮົາ ທີ່ຖືກເດັ້ງໂດຍກຸ່ມຫົວນິຍົມຫວຽດນາມ ຍ້ອນທ່ານບົວສອນເພິ່ນນິຍົມຈີນ. ໃນອະດີດທ່ານບົວສອນ ກໍເປັນນັກສຶກສາຄົນໜຶ່ງທີ່ມີຜົນງານ ເດັ່ນໃນການເປັນແກນນຳໂຮມຊຸມນຸມ. ອີກທ່ານໜຶ່ງທີ່ຈະເປັນແກນນຳໃນຄັ້ງນີ້ແມ່ນທ່ານ ສຸລິວົງ ດາລາວົງ ລັຖະມົນຕີ ພະລັງານບໍ່ແຮ່ ເປັນລຸງ ເຮົາເອງ. ຄາດກັນວ່າ ທ່ານ ສົມສະຫວາດ ເລັ່ງສະຫວັດ ກໍຈະເຂົ້າຮ່ວມ.
ທຸກໆຄົນສາມາດເຂົ້າຮ່ວມໄດ້ ເພື່ອສະແດງພະລັງວ່າເຮົາຄົນລາວບໍມັກການຕົກເປັນຫົວເມືອງແບບໃໝ່ໃຫ້ແກ່ຫວຽດນາມ!

ກະລຸນາ copy ຂຽນໃສ່ status ຂອງທ່ານແລ້ວບອກຕໍ່ໆກັນໄປ. Copy ມາຈາກອ້າຍ ຕູ່ ຄົນຮັກຊາດລາວ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Khaphachao day ao khao ni lon nay véthi lao-nork tè tol deuane 11 phoune, tèva bo mi nak kane muong lao phouday sol chay (nork chark Thanh Koupranom Abhay lè Thanh Souk Thasy). Sia day youh !

Thanh colonel Robert JAMBON bo day kao theung tè phinong Lao-Hmong tho nane. Thanh day vao theung paxasone lao thoua pay lè vao theung ban ha sat, nay spp Lao.

TXLF


Réponse de TXLF à Khoupranom


Mon cher ami,

Comme tu dis, le geste du colonel Robert Jambon est un geste fort et rarissime. De son vivant il avait écrit maintes fois aux responsables politiques et aux médias pour attirer leur attention sur le drame laotien, mais il se heurtait à un mur de silence, parce que la France n'a plus aucun intérêt politique, économique et commercial au Laos. Pour la France, les Droits de l'Homme en Asie, et en particulier au Laos, ne sont pas les mêmes qu'en Afrique. Ce sont des sous-droits qui ne valent pas la peine d'être défendus ! La preuve est flagrante. Pendant que l'on fait la guerre en Afrique pour déloger les dictateurs africains, on décore les dictateurs laodèng de la Légion d'Honneur (pour avoir traité les français de sales colonisateurs et de bourreaux du peuple laotien).

En tant que bouddhiste, je n'approuve pas le geste du colonel Jambon, mais parfois je le comprends.

Touxoua Lyfoung


Dans un e-mail daté du 11/3/2011 5:18:10 p.m. Paris, Madrid, koupranom_abhay@yahoo.fr a écrit :

Réaction de Monsieur Koupranom Abhay



Bonjour Touxoua Lyfoung ,


La mort du Col Robert Jambon m'interpelle pour que je m'attarde
avec émotion et respect pour saluer sa mémoire et son geste rarissime,
exécuté pour honorer une noble cause .


Le temps passe , la vie change ,
et le Colonel n'a jamais oublié le Laos,
comme moi , nous sommes enchainés pour toujours
à cette terre envoutante , à ces montagnes et à ce Mékong
impassible qui continue à abreuver les berges de ce beau pays.


Mes condoléances sincères à la famille du Colonel Robert Jambon .


Koupranom Abhay



Réponse de TXLF à Monsieur Souk Thasy

Bonjour Monsieur Souk Thasy,

Avec Monsieur Koupranom Abhay, vous êtes la deuxième personne qui a réagi à mon message.

J'ai pris la peine de poster ce message à tous les forums Lao Nork. Je suis un peu étonné que l'Opposition Lao Exilée reste insensible devant cet événement tragique dont la situation politique en RDPL est en partie responsable.

Oui, le colonel Robert Jambon était un grand homme. Sa mort (que nous pleurons tous) servira la cause de la Démocratie et contribuera à faire comprendre aux responsables politiques et aux médias

- que la dictature au Laos est aussi barbare que la dictature en Libye ou ailleurs.

- que les droits de l'Homme sont les mêmes en Europe, en Afrique, en Amérique et en Asie,

- que le peuple laotien n'est pas un sous peuple,

- que la vie d'un laotien vaut autant celle d'un tout autre être humain, et

- que les droits de l'Homme au Laos ne sont pas des sous-droits qui ne valent pas d'être défendus.


Amitiés

Touxoua Lyfoung


Réaction de Monsieur Souk Thasy


Dans un e-mail daté du 11/4/2011 2:09:24 p.m. Paris, Madrid, souk.thasy@gmail.com a écrit :
ທ່ານ ຕູ​ຊົວທີ່​ນັບຖື


ຂ້າພະ​ເຈົ້າ ພ້ອມ​ດ້ວຍ​ທິມງານ ຂອງ LFM ຮູ້ສຶກມີຄວາມເສົ້າສະລົດໃຈ ໃນການສູນເສັຽຄົນດີ ທີ່ຮັກຄົນລາວ ເຊັ່ນ ທ່ານ
colonel Robert JAMBON ໃນວັນທີ່ 2 ພຶສຈິກາ ຜ່ານມານີ້.


ຂໍວິ່່ງວອນ ໃຫ້ດວງວິນຍານທ່ານ ພັນເອກ ໂຣເບິດ ຈາມບົງ ຈົ່ງໄປສູ່ສຸຂຕິພົບດ້ວຍເທີ້ນ.
ພວກຂ້າພະເຈົ້ົ້າ ຂໍຈາລຶກຄຸນງາມຄວາມດີຂອງທ່່ານ ໂຣເບິດ ທີ່ມີຕໍ່ປະເທດລາວ ແລະປະຊາຊົນລາວ
ໄວ້ຕລອດໄປ.


ດ້ວຍຄວາມເຄົາຣົບ ແລະ ນັບຖື.


ສຸກ ທະສີ



Dans un e-mail daté du 11/3/2011 11:04:16 a.m. Paris, Madrid, Touxoua@aol.com a écrit :


Amis et chers compatriotes,

Hier (mercredi 2 novembre 2011) j'ai assisté aux obsèques d'un ami, le colonel Robert JAMBON, retraité des Troupes de Marine de l'Armée française, qui avait fait trois séjours au Laos, entre 1949 et 1954, et qui s'est donné la mort, la semaine dernière, devant le Monument des Soldats morts pour la France de Dinan (Côtes-d'Armor, Bretagne, France). J'étais accompagné du Commandant Vang Néng, Président de l'Association Solidarité Hmong en France, et de quelques ami Lao-Hmong de Rennes.

Le colonel Robert JAMBON était Commandeur de la Légion d'Honneur, titulaire de la Croix de Guerre des TOE avec Palme et Officier de l'Ordre du Million d'Eléphants et du Parasol Blanc.

Voici les motifs de son "suicide" que je mets à la connaissance de nos compatriotes laotiens, avec l'autorisation de la Famille JAMBON. Ce document nous a été remis, de main propre, par la veuve du Colonel Robert JAMBOM, à la sortie de l'Eglise de Saint Samson sur Rance. Certains passages ont été lus, avec émotion, devant l'assistance, par le révérend Prête.

Le colonel Robert JAMBON pense que son geste servira à sensibiliser les autorités politiques et les médias françaises sur "le cas laotien".

Voilà un grand français qui mérite le respect de notre Communauté Lao.

Que son âme repose en paix !

TXLF

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30
ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30
ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30
ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30
ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30
ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30ຢ່າລືມອິກ48ຊັ່ວໂມງຈຸດນັດພົມສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ທີ່ເດິນທາດຫລວງ ທີ່ 16.12 ເວລາ17ໂມງ30

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Laos: 2 prisoners freed after 14 years
Monday, 20 December 2004, 9:50 am
Press Release: Amnesty International

Laos: Two prisoners of conscience freed after 14 years

Amnesty International is delighted by the safe arrival in France today of two Lao former prisoners of conscience, Feng Sakchittaphong and Latsami Khamphoui. The pair were released from prison in October this year having served a 14-year sentence for charges including "making preparations for rebellion" and "propaganda against the Lao People’s Democratic Republic".

Both men had advocated peaceful economic and political reform in Laos -- a country which has a zero-tolerance policy towards dissent in any form

"Amnesty International shares in the delight of Feng and Latsami’s families and hopes that their release marks another step on the road towards the full respect of human rights for all in Laos," said Natalie Hill, Deputy Asia Director at Amnesty International.

There were widely-held concerns that the pair may not have been released at the end of their sentence -- an all too common occurrence in Laos. It was also feared that the pair would not be allowed to leave the country to seek medical help abroad. Feng and Latsami are both 62 years old and suffering from poor health, including heart and kidney problems. Both men have close family connections in France.

Sadly, fellow prisoner of conscience Thongsouk Saysangkhi died in prison before he could be released. The former colleague of Feng and Latsami died in 1998 aged 59. The three men were arrested at the same time and lived under extremely harsh conditions in a prison camp, with few family visits allowed. Thongsouk had been denied adequate medical care for serious health problems.

"Our hearts go out to the family of Thongsouk Saysangkhi who should also have been rejoicing today," said Natalie Hill.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທຸກທ່ານ ທີ່ ເຄົາຣົບ....

ໃນ ມູມມອງ ຂອງທ່ານ ອາດ ສແດງອອກມານີ້ແມ່ນຖືກຕ້ອງທີ່ສຸດ....ການຕໍ່ສູ້ເພື່ອ ປະຊາທິປະຕັຍ
ຂອງລາວນອກ ໃນຜ່ານມາແລະປະຈຸບັນ ກໍ່ເປັນແບບສະພາກາເຟ ກໍ່ເທົ່ານັ້ນເອງ...ຖ້າວ່າ ເຮົາຄະຍັ້ນຄະຍໍ
ໃຫ້ມັນເປັນຮູບປະທັມ ຂຶ້ນມາ ກໍເຂົ້າໃຈໄປທາງອື່ນ ດັ່ງທີ່ ຂພຈ ໄດເຈິ ມາແລ້ວນີ້ລະ...

ການແນະນໍາຂອງ ຂພຈ ໃນຜ່ານມາ ຄິດວ່າ ມີຫລາຍ ກໍລະນີທີ່ ທ່ານ ທັງຫລາຍ ຍັງເມີນເສີຍ ເຫດຜົນ
ອາດຈະຄິດວ່າ ເປັນການກ້າວກ່າຽສິດທິຂອງພວກເພິ່ນ ຫລື ອາດຈະເຫັນວ່າ ມີແຕ່ເວົ້າໄດ້ ແຕ່ບໍ່ເຮັດຫຍັງ..
ຂພຈ ບໍ່ເຄີຽຮູ້ໜ້າ ບໍ່ເຄີຽຮອດໄດ້ຍິນຊື່ຜູ້ທີ່ ໂຕ້ຕອບ ດ່າວ່າ ຂພຈມານັ້ນ ແມ່ນ ກະທັ້ງທ່ານ ນາຍົກເອງ ຂພຈ
ກໍບໍ່ເຄີຽຮູ້ເຄີຽເຫັນ ແຕ່ວ່າ ບໍ່ເຄີຽໄດ້ມອງຂ້າມໃນທາງທີ່ຕໍາຕ້ອຽຈັກເທື່ອ..ທີ່ໄດ້ເຕືອນທຸກທ່ານມານັ້ນກໍ່ບໍ່ໄດ້
ແມ່ນຊຸດ ຣຖບ ຂອງເພິ່ນນີ້ຊໍ້າ ແຕ່ ພວກເພິນ ຢາກກິນປູນຮ້ອນທ້ອງເອງເພິ່ນ.....

ສິ່ງທີ່ ຂພຈ ໄດ້ອອກຄວາມເຫັນ ຫລື ແນະນໍາມາກ່ອນນັ້ນ ມັນແນ່ນ ກັ່ນກອງອອກຈາກ ປະສົບປະການ ແລະ
ຈາກພາກປະຕິບັດດ້ວຽຕົນເອງ ໃນຜ່ານມາ ຊຶ້ງຕົນເອງໄດ້ຄົ້ນຄວ້າແລະສັງເກດເຫັນຈຸດດີຈຸດອ່ອນ ທີ່ຕົນເອງ
ແລະຄນະໄດ້ປະຕິບັດຜ່ານມາກ່ອນແລ້ວນັ້ນເປັນຄືແນວໃດ...ເຊັ້ນວ່າ ໄດ້ແນະນໍາ ເລື້ອງການຈັດຕັ້ງຕ່າງໆ ລວມ
ທັງ ຣຖບ ພັດຖິ່ນ ທີ່ໄດ້ ໂວຍວາຍສແດງກິຣິຍາ ທີ່ໂຫດຮ້າຽ ປະຕິເສດ ທຸກໆທິດທາງຢ່າງຊິ້ນເຊີງ..ພ້ອມທັງຍັງບົ່ງ
ບອກໃຫ້ເຫັນທາດແທ້ ຂອງການຈັດຕັ້ງຂອງເພິນເອງ ວ່າ ພວກເພິ່ນຢືນຢູ່ໃນຝ່າຽໃດກັນແທ໊...

ບໍ່ຕ້ອງ ນ້ອຽໃຈຕາງ ຂພຈ ກໍໄດ້ວ່າຈະເສັຽໃຈແລະຫລົບຫລີກອອກຈາກການຕໍ່ສູ໊ເພື່ອຊາຕ...ເພາະວ່າການຈັດຕັ້ງທີ່ ຂພຈ ສັງກັດຢູ່ ມັນມີຕົວຕົນທີເພິ່ງພາອາໃສໄດ້ ຈົນ ສາມາດກ້າທ້າທາຍວ່າ ໃກ້ກັບໄຊຊນະ
ເຂົ້າມາທຸກໆມື້ທີ່ສຸດແລ້ວ...ອາດຈະມີຫລາຍທ່ານພໍສົມຄວນ ທີ່ເຂົ້າໃຈແລະຮັບຮູ້ຄຸນນະພາບການທໍາງານຂອງ
ຂພຈ ໃນຜ່ານມາ...ເປັນຄວາມຈິງ ທີ່ພວກເຮົາໄດ້ ລວມຢູ່ໃນຝ່າຽທີ່ເສັຽໄຊ...ແຕ່ ມັນກໍ່ຍັງມີຫລາຍຂແນງການ
ທີ່ ທາງຝ່າຽໃຊຊນະຍັງນໍາມາໃຊ້ຢູ່...ສນັ້ນ ຂພຈ ຈະບໍ່ໂຕ້ຕອບຄໍາປ້ອຍດ່າແບບເດັກອົມມືທີ່ສແດງອອກມາ
ເລົ່ານັ້ນໃຫ້ເສັຽຫລ່ຽມຂອງລູກຜູ້ດີມີຕະກູນ...

ດ້ວຍຄວາມນັບຖືຮັກແພງ
ບລ ຣ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ ພີ່ນ້ອງລາວ ທີ່ ນັບຖື


ຂ້າພະເຈົ້າເຫັນ ຂ່າວວ່າຈະມີການປະທ້ວງ ຢູ່ລາວນັ້ນ ແມ່ນ ການ ໂຄສະນາຢັ່ງເຊິງ ຂອງຣະບອບ ການປົກຄອງ ຕໍ່ ປຊຊ ແລະ
ການ ເຄື່ອນໄຫວ ຂອງລາວນອກ ທີ່ພາກັນ ຕົບມືພືຜ້າ ດີມົກດີໃຈ ຕໍ່ການອອກຄວາມເຫັນ ນ້ອຍນື່ງຂອງ ດຣ ຄຳເຜີຍ ຢູ່ໃນ
ສະພາ ຜະເດັດການ 2 ຄັ້ງ.


ກົດຫມາຍເຖື່ອນພາກບັງຄັບ:
ຫ້າມບໍ່ໃຫ້ມີການຊຸມນຸມ ໂອ້ລົມກັນ ກາຍ 5 ຄົນ ນີ້ແມ່ນຄຳປະກາດ ແຕ່ຕົວຈິງ ບໍ່ໃຫ້ກາຍ 3 ຄົນ. ສ່ວນ ລາວນອກ ທີ່ເຮັດການ ຕໍ່ສູ້
ຫລື ບໍ່ເຮັດການຕໍ່ສູ້ ຫລື ຈະເລັຽທູດຈົນໄດ້ຫລຽນຂີ້ກົ່ວ ແມ່ນຖືກຕິດຕາມຫມົດທຸກຄົນ ບໍ່ມີຂໍ້ຍົກເວັ້ນ. ຈະບໍ່ມີການລອດສາຍຕາ
ໄດ້ແມ້ແຕ່ຄົນດຽວ ອັນນີ້ແມ່ນ ຣະບຽບຂອງການປ້ອງກັນ.


ຖ້າຫາກມີການຊຸມນຸມແທ້ ເນື້ອໃນແມ່ນອ່ານຕາມພັກ ແລະ ຢູ່ມີການກວດກາການຂຽນ ແລະ ອ່ານທັງຫມົດ ເພື່ອສແດງ

ໃຫ້ສາກົລຮູ້ວ່າລາວມີການຫັນປ່ຽນດ້ານມະນຸສຍະທັມ ດີຂຶ້ນ.
ຖ້າພັກບໍ່ສນັບສນູນ ປານນີ້ ແມ່ນຖືກຈັບຫລາຍຄົນແລ້ວ ກ່ອນທ່ານຈະໄດ້ຮູ້ຂ່າວນີ້.


ແນວລາວ ອານຸຍາດ ໃຫ້ທ່ານ ແຝງ ສັກຈິຕພົງ ແລະ ຣັສມີ ຄຳຜູຍ ໄປຝຣັ່ງ ເພື່ອປິ່ນປົວສຸຂພາບນີ້ ເປັນບາດກ້າວນຶ່ງ ທີ່ໄດ້ໂຊວ໌
ວ່າລາວມີ ມະນຸສຍະທັມ ຫລາຍຂຶ້ນກວ່າເກົ່າ ແລະ ເຫັນ Amnesty international ມີຄວາມດີໃຈນຳອີກ.


ເຮົາເດີນກ້າວ ນຶ່ງ ເຂົາ ເດີນ ກ້າວນຶ່ງ, ເຮົາເດີນ ສອງກ້າວ ເຂົາເດີນ ສາມກ້າວ.....ມັນຍາກກັນຢູ່ບ່ອນນີ້....


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຂໍໃຫ້ບັນດາຜູ້ຮັກຊາດຮູ້ວ່າ ຄອມມຸນິດແທ່ນຫຍັງ ? ຢ່າເຊື່ອໄວຫລາຍ,ເຣື້ອງດຣ ຄຳເຜີຍແລະອື່ນໆນັ້ນ ແມ່ນສາກລະຄອນ
ທີ່ເຄີຍປະຕິບັດ ສໄມ ສະຫະພາບໂຊວຽດຣັດເຊັຍ ມາແລ້ວ , ຢ່າເອົາບົດຮຍນອັນເຈັບແສບປີ 1975 ມາຊ້ຳຮອຍອີກ.
ໃຫ້ມີສະຕິຣະວັງຕົວ, ການແຊກຊຶມມີຫລາຍຮູບ,ໄສ້ສັດຕູ ອາດຢູ່ນຳພວກເຮົາກໍເປັນໄດ້.
ຮົກແພງ



--------------------------------------------------------------------------------
De : Toum Rasika
À : Networkroom
Envoyé le : Mercredi 14 Décembre 2011 2h55
Objet : ການ ໂຄສະນາຢັ່ງເຊິງ ຂອງຣະບອບ ການປົກຄອງ


ທ່ານ ພີ່ນ້ອງລາວ ທີ່ ນັບຖື


ຂ້າພະເຈົ້າເຫັນ ຂ່າວວ່າຈະມີການປະທ້ວງ ຢູ່ລາວນັ້ນ ແມ່ນ ການ ໂຄສະນາຢັ່ງເຊິງ ຂອງຣະບອບ ການປົກຄອງ ຕໍ່ ປຊຊ ແລະ
ການ ເຄື່ອນໄຫວ ຂອງລາວນອກ ທີ່ພາກັນ ຕົບມືພືຜ້າ ດີມົກດີໃຈ ຕໍ່ການອອກຄວາມເຫັນ ນ້ອຍນື່ງຂອງ ດຣ ຄຳເຜີຍ ຢູ່ໃນ
ສະພາ ຜະເດັດການ 2 ຄັ້ງ.


ກົດຫມາຍເຖື່ອນພາກບັງຄັບ:
ຫ້າມບໍ່ໃຫ້ມີການຊຸມນຸມ ໂອ້ລົມກັນ ກາຍ 5 ຄົນ ນີ້ແມ່ນຄຳປະກາດ ແຕ່ຕົວຈິງ ບໍ່ໃຫ້ກາຍ 3 ຄົນ. ສ່ວນ ລາວນອກ ທີ່ເຮັດການ ຕໍ່ສູ້
ຫລື ບໍ່ເຮັດການຕໍ່ສູ້ ຫລື ຈະເລັຽທູດຈົນໄດ້ຫລຽນຂີ້ກົ່ວ ແມ່ນຖືກຕິດຕາມຫມົດທຸກຄົນ ບໍ່ມີຂໍ້ຍົກເວັ້ນ. ຈະບໍ່ມີການລອດສາຍຕາ
ໄດ້ແມ້ແຕ່ຄົນດຽວ ອັນນີ້ແມ່ນ ຣະບຽບຂອງການປ້ອງກັນ.


ຖ້າຫາກມີການຊຸມນຸມແທ້ ເນື້ອໃນແມ່ນອ່ານຕາມພັກ ແລະ ຢູ່ມີການກວດກາການຂຽນ ແລະ ອ່ານທັງຫມົດ ເພື່ອສແດງ

ໃຫ້ສາກົລຮູ້ວ່າລາວມີການຫັນປ່ຽນດ້ານມະນຸສຍະທັມ ດີຂຶ້ນ.
ຖ້າພັກບໍ່ສນັບສນູນ ປານນີ້ ແມ່ນຖືກຈັບຫລາຍຄົນແລ້ວ ກ່ອນທ່ານຈະໄດ້ຮູ້ຂ່າວນີ້.


ແນວລາວ ອານຸຍາດ ໃຫ້ທ່ານ ແຝງ ສັກຈິຕພົງ ແລະ ຣັສມີ ຄຳຜູຍ ໄປຝຣັ່ງ ເພື່ອປິ່ນປົວສຸຂພາບນີ້ ເປັນບາດກ້າວນຶ່ງ ທີ່ໄດ້ໂຊວ໌
ວ່າລາວມີ ມະນຸສຍະທັມ ຫລາຍຂຶ້ນກວ່າເກົ່າ ແລະ ເຫັນ Amnesty international ມີຄວາມດີໃຈນຳອີກ.


ເຮົາເດີນກ້າວ ນຶ່ງ ເຂົາ ເດີນ ກ້າວນຶ່ງ, ເຮົາເດີນ ສອງກ້າວ ເຂົາເດີນ ສາມກ້າວ.....ມັນຍາກກັນຢູ່ບ່ອນນີ້....


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ระเบิด-แก๊งมือสั่น ส่งซิก ′รบ.ปู′ ตัวตน-การดำรงอยู่

วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 17:30:00 น. matichon



(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 13 ธันวาคม 2554)


เชื่อว่าเหตุลอบวางระเบิดบริเวณ "หน้ากองสลากกินแบ่งรัฐบาล" ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา คงจับมือใครดมไม่ได้

เหมือนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า คนกลุ่มนี้มีความตั้งใจจะให้เห็นว่า "รัฐบาลไร้เสถียรภาพ"

นั่นก็หมายความว่า คดีดังกล่าว ก็คงมีสภาพที่ไม่ต่างจากคดีระเบิดอีกหลายสิบคดี ที่เกิดขึ้นในปี 2550

ไม่ต่างจากการยิงระเบิดเอ็ม 79 ในหลายจุดช่วงต้นปี 2551-2553 ที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลือง คนเสื้อแดง

ที่ไม่สามารถจับตัวคนร้ายมาดำเนินคดีได้

เพราะ "ระเบิด" ที่เกิดขึ้น เป็นระเบิดการเมือง

แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสรุปว่า "คนร้าย" ต้องการแค่สร้างความปั่นป่วน แต่ในแง่ความมั่นคงของประเทศและวิธีการก่อเหตุ ต้องยอมรับว่า "น่าวิตก"

เพราะระเบิดการเมืองในลักษณะนี้ เมื่อเกิดครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะเกิดขึ้นอีก

แม้ ร.ต.อ.เฉลิม จะพยายามบอกว่า "รู้ตัวคนบงการ" และส่งเสียงดังๆ ให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว

แต่ดูทุกครั้งที่ผ่านๆ มา มักไม่ได้ผล

กลับกัน อาจกลายเป็น "แรงกระตุ้น" ให้เกิดการกระทำครั้งที่สอง ครั้งที่สาม หรืออีกหลายๆ ครั้งตามมา

เพราะถือว่านี่คือการท้าทาย

ความท้าทาย ในลักษณะที่ไม่มีใครกลัวใครนี่แหละ น่ากังวล

ที่น่ากังวล เพราะทุกครั้งที่ระเบิดเกี่ยวข้องกับการเมือง จะมีการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญให้เห็นภาพไม่กี่ประเด็น

1.เป็น การก่อเหตุที่ไม่ประสงค์ต่อชีวิต ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงในวงกว้าง แต่เป็นระเบิดที่ดังขึ้นเพื่อหวังผลทางการเมืองรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

2.แผน ประทุษกรรมของคนร้ายเป็นรูปแบบที่จัดวางมาอย่างดี มีแผนค่อนข้างรัดกุม มีการตัดตอน (คัตเอาต์) ในแต่ละขั้นอย่างเด็ดขาด ทำให้ยากต่อการสืบสวนหาต้นตอผู้สั่งการ

3.การเฟ้นหาตัวบุคคลที่ก่อ เหตุ อาวุธที่ใช้ และยานพาหนะ ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ กลุ่มคนร้ายน่าจะมีเซฟเฮาส์สำหรับเก็บตัว และจะออกจากเซฟเฮาส์เฉพาะเดินทางไปก่อเหตุเท่านั้น

4.คนที่ใช้อาวุธต้องมีความเชี่ยวชาญสูงมาก

นั่นข้อสันนิษฐาน

เป็นข้อสันนิษฐานที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกี่สิบ กี่ร้อยคดี ถ้ามีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

ไม่มีทางจะลากคอคนร้ายมาดำเนินคดีได้

เพราะในแนวทางการสอบสวนของตำรวจในทุกครั้ง นอกจากจะวิเคราะห์ 3-4 ข้อข้างต้นแล้ว

ยังจะมีบทสรุปต่อท้ายว่า "ที่ สำคัญบุคคลที่รู้เห็นหรืออยู่เบื้องหลังต้องมีอำนาจอยู่ในมือ มีวอร์รูม และมีเงินทุนพอสมควร เนื่องจากต้องใช้เงินไม่น้อยในการก่อเหตุแต่ละครั้ง"

แน่นอนหากข้อสรุปออกมาแบบนี้ คนที่เกี่ยวของกับระเบิดการเมืองในทุกครั้ง และไม่สามารถจับมือใครดมได้ คือ "กลุ่มคนมีสี"

ที่มีอดีตกลุ่มคนมีสี เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

หากแต่เมื่อเป็นระเบิดการเมือง การสะสางคดีย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ทำให้เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยแต่ละฝ่ายทำไปตามหน้าเสื่อ

ด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่คำถามที่ใครๆ ก็อยากรู้ว่า เหตุใดตำรวจจึงจับกุมคนร้ายไม่ได้เลยแม้แต่กรณีเดียว

นอกจากประเด็นทางการเมือง ที่ตำรวจจะต้องดูทางลมแล้ว การคลี่คลายคดีลักษณะดังกล่าว ไม่สามารถใช้กระบวนการสืบสวนแบบปกติได้

เพราะแต่ละขั้นของแผนประทุษกรรมมีการตัดตอนในตัวเอง

อย่างมากก็จับกุมได้เฉพาะพวกที่ถูกจ้างวาน เมื่อเข้าสู่กระบวนการซักถามหรือสอบปากคำ

ก็จะไม่รู้ว่าใครเป็น "คนสั่ง" จริงๆ

การลอบวางระเบิดครั้งนี้ ก็เพียงแค่ต้องการเปิดเกม "เขียนเสือให้วัวกลัว"

เพราะ "คนสั่งการ" รู้ว่ารัฐบาลนี้มีผู้หญิงเป็นนายกฯ อาจจะตกใจง่าย

รู้ว่าความสัมพันธ์กับหลายองค์กร ไม่ว่าจะเป็นทหารบางกลุ่ม คนในกระบวนการยุติธรรมบางพวก ยังไม่ "สมาน" จนเป็นเนื้อเดียวกันกับรัฐบาล

จึงเป็นโอกาสทองที่จะดิสเครดิตรัฐบาล

ไม่ได้หวังอะไร

หวังเพียงแค่คำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ส่งเสียงดังๆ ว่า

"รู้นะว่าเป็นใคร แก๊งมือสั่น ที่ชอบนั่งกินข้าวกันแถวสุขุมวิท"
"รู้นะว่าเป็นใคร แก๊งมือสั่น ที่ชอบนั่งกินข้าวกันแถวสุขุมวิท"
"รู้นะว่าเป็นใคร แก๊งมือสั่น ที่ชอบนั่งกินข้าวกันแถวสุขุมวิท"
"รู้นะว่าเป็นใคร แก๊งมือสั่น ที่ชอบนั่งกินข้าวกันแถวสุขุมวิท"

เพราะนั่นหมายความว่า สถานะของคนกลุ่มนี้ยังคงดำรง และมีตัวตนอยู่ ไม่ได้หายไปจากเส้นทางอำนาจ อย่างที่หลายคนเข้าใจ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1323772038&grpid=09&catid=&subcatid=





วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 17:50:55 น. Praxathai
เบื้องหลังชุด "ม่วง" ยิ่งลักษณ์ ระยับกลางงานแต่งหลานสาว-ปริศนา"เอม"ไม่ยอมหอมเจ้าบ่าวต่อหน้ากล้อง?



เก็บตก "เบื้องหลัง" งานฉลองมงคลสมรสคู่เซเลบฯแห่งปี "พินทองทา ชินวัตร" และ "ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์" ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน ที่ห้อง แอทธินี คริสตัล ฮอลล์ เมื่อค่ำคืนวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา



โดยบรรยากาศ "การรักษาความปลอดภัย" บริเวณนอกและในอาคาร รวมไปถึงพื้นที่โดยรอบจะเข้มงวดราวกับเป็นสถานที่จัดประชุม "นานาชาติ" ก็ไม่ปาน เหตุเพราะมีแขกระดับวีไอพี.ตั้งแต่นักการเมือง นักธุรกิจ ทูต แกนนำผู้ชุมนุม นักแสดง ไปจนถึงบุคคลสำคัญทางการเมืองของกัมพูชา นั่นทำให้การ์ดมีอยู่ทั่วนับร้อย กระนั้นก็ไม่ยากต่อการสังเกต เพราะงานแต่งครั้งนี้ได้สร้าง สัญลักษณ์ ขึ้นมาในทุกระดับ โดยคณะการ์ดวีไอพีที่จะเข้าออกในงานถือเป็นการ์ดส่วนกลาง มีสัญลักษณ์คือ "สวมเนคไทสีชมพู" พร้อมติดเข็มกลัด



ส่วนสื่อมวลชนที่เข้าไปในตัวอาคารจัดงานไม่ได้ แต่ทางเจ้าภาพได้จัดห้องต้อนรับไว้อีกอาคาร แต่หากต้องการถ่ายรูปแขกผู้มีเกียรติทำได้คือยืนถ่ายทะลุกระจกเข้าไป โดยสื่อก็จะได้รับ "เข็มกลัดที่มีชื่อเล่นภาษาอังกฤษของเจ้าบ่าวเจ้าสาว และคำว่า Press" ติดอยู่



ขณะที่กลุ่ม ส.ส.เสื้อแดง และแกนนำก็นัดแนะกันมาอย่างไม่แพ้กัน ตั้งแต่ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ ขวัญชัย ไพรพนา นิสิต สินธุไพร วรชัย เหมะ ทีมทนายความนปช. ทั้งหมดสวม "เนคไทสีแดง" มาอย่างเป็นทีมพร้อมเพรียง





@@@ปริศนาที่หนึ่ง "ชุดสีม่วง" ของยิ่งลักษณ์



งานเลี้ยงคืนนั้นมี "สี" หนึ่งที่โดดเด่น และถูกไฟสปอทไลท์จับจ้องสะท้อนแสงระยิบระยับรองจากเจ้าสาวแล้วคือ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ที่เรียกเสียง "ฮือ" จากสื่อมวลชนที่เกาะติดรายงานข่าวนายกรัฐมนตรีอยู่เป็นประจำเมื่อ "ยิ่งลักษณ์" ปรากฎโฉมเดินเข้ามาในห้องแถลงข่าวแกรนด์ฮอลหมายเลขหนึ่ง ในชุดผ้าไหม "สีม่วง" แขนกุดยาวคลุมปลายเท้า พร้อมด้วยผ้าคลุมไหล่สีม่วงติดเข็มกลัดเพชรรูปใบไม้ปักที่บริเวณเอว



ชุด "ม่วง" ที่เป็นสีประจำและสีโปรดปรานหนึ่งในคอลเลคชั่นแฟชั่นของ "ยิ่งลักษณ์" ที่ใส่มางานแต่งงานหลานสาวมีเบื้องหลังอย่างไร?



ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ตามไปหาคำตอบจากแขกวีไอพีคนหนึ่งในงาน...เล่าให้ฟังว่า ยิ่งลักษณ์ในชุดผ้าไหมม่วงทำให้แขกในงาน ที่นอกจากจะถ่ายรูปร่วมกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่หน้าทางเข้างานกันอย่างคับ คั่งแล้ว หากมองไปในห้องจัดงาน ยิ่งลักษณ์ได้รับเชิญให้ถ่ายรูปร่วมกับแขกในงานมากไม่แพ้กัน และเสียงทักถึงชุดม่วงก็มีเป็นระยะๆ จนมีคำอธิบายของนายกรัฐมนตรีถึงที่มาที่ไปชุดนี้กับแขกในงานว่า



"ชุดนี้จะใส่ถ่ายรูปเพื่อถ่ายปฏิทินทำแจกปีใหม่"เธอกล่าว





--เป็นชุดพิเศษที่ตัดมาเพื่องานสำคัญของตระกูลและใช้อีกวาระในปฏิทินปีใหม่ 2555 นั่นเอง...




@@@ปริศนาที่สอง "เอม" ไม่ยอมหอมแก้ม "เจ้าบ่าว"



ระหว่างที่เจ้าบ่าว-เจ้าสาว เดินควงคู่มาให้สื่อมวลชนถ่ายภาพและสัมภาษณ์ก่อนพิธีในงานจะเริ่ม ระหว่างถ่ายภาพ มีเสียงเรียกร้องขอให้ "เอม" หอมเจ้าบ่าว ปรากฎ เจ้าสาวทำท่างงเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า "ยังไม่เริ่มพิธีเลย" พร้อมทั้งยิ้มเขินๆเมื่อถูกแซวจนต้องเอ่ยยิ้มๆว่า "ขอกอดพอ" จากนั้นการถ่ายภาพคู่ดำเนินต่อไปอีกไม่นาน "เอม" เขยิบหน้าเข้าไปใกล้เจ้าบ่าวทำท่าคล้ายจะหอมแก้ม แต่ก็ชะงักเล็กน้อย และถอยหน้ากลับมาทำท่าทางเขิน เป็นอันว่าไม่ได้หอมแก้มในที่สุด ท่ามกลางเสียงลุ้นว่าจะมีเซอร์ไพร์สหรือไม่ แต่ที่สุดก็ไม่มีเซอร์ไพรส์หอมฟอดใหญ่ต่อหน้ากล้อง...





ชมคลิป ชุดม่วงของยิ่งลักษณ์ และ "เอม" เขินไม่หอมเจ้าบ่าว






แกลเลอรี่ภาพ







__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ความพิเศษ และ หนึ่งเดียวของ "ความเป็นไทย" uniqueness of Thainess !?

วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15:00:00 น. matichon

โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริเชื้อสายลาวจากราชบุรี

(ที่มา เฟซบุ๊กส่วนตัวของ "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ")


ความคิดที่ว่า "ความเป็นไทย" เป็น "หนึ่งเดียว-พิเศษ-ไม่มีใครเหมือน" และ "ไม่เหมือนใคร" ใน "โลกใบนี้" ที่ใช้และยืมมาจากคำอังกฤษ/อเมริกัน "unique/uniqueness" นั้น เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยนักวิชาการอเมริกัน ในยุค 1960s ของ "สงครามเย็น" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เดวิด วิลสัน (David A. Wilson: Politics in Thailand, Cornell, 1962)


ความคิดว่าด้วย uniqueness นี้ มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนทั้ง "สถาบันทหาร" คือ "ระบอบสฤษดิ์-ถนอม" กับสถาบันจารีตอื่นๆ ในการต่อสู้กับ "ลัทธิคอมมิวนิสม์" และ "ขบวนการชาตินิยม" ทั้งในจีน (แดง) และในอินโดจีน (เวียดนาม-กัมพูชา-ลาว) ความคิดเช่นนี้ มีข้ออ้างสำคัญ คือ "การพัฒนาเศรษฐกิจ" (กระแสหลัก) หรือ mainstream economic development แล้วให้ชะลอ "การพัฒนาการทางการเมืองกับสังคม" ไปก่อน


ความคิดที่ว่าไทยเป็น "หนึ่งเดียว-ไม่เหมือนใคร" ของอเมริกันยุค "ซิกสตี้" นี้ ได้ รับการสืบทอด ตอกย้ำ โดยนักวิชาการกระแสหลักของไทยเอง ไม่ว่าจะเป็น นักรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ และนักไทย (คดี) ศึกษา นักภาษาและวรรณคดีไทยๆ ตลอดจนสื่อสารมวลชน (ไทยๆ) เกือบจะทุกสำนัก (ไม่ว่าจะเป็น "นักเรียนนอก" และ "นักเรียนไม่นอก" ไม่ว่าจะจบหรือไม่จบ ม.ในกรุง หรือ ม. นอกกรุง)


ความคิด "หมู่" ว่าด้วย uniqueness นี้ยังประโยชน์ให้กับนักการเมือง (ทั้งในและนอกระบบ) นักการทหาร นักการปกครองของ "อำมาตยา-เสนาธิปไตย" ในการที่จะ "รักษาสถานเดิม" หรือ status quo ตลอดจนสืบทอดความคิด "อนุรักษ์นิยม" conservatism หรือขยายความต่อซึ่ง neo-liberalism (แถม post-modernism !? ด้วยก็ยังได้) ทั้งหลายทั้งปวง ที่ถ้าไม่ปฏิเสธตรงๆ ก็ขอ "เลื่อน/รอ" ไปก่อน ซึ่ง "ประชาธิปไตยโดยรัฐสภา และการเลือกตั้ง" ตลอดจนการไม่ธำรงไว้ซึ่งหลักการณ์สากลว่าด้วย "ความเสมอภาค-เสรีภาพ-ภราดรภาพ" และ/หรือ "สิทธิมนุษยชน" นั่นเอง


ความคิดเช่นนี้ แถมยังให้ "ความชอบธรรม" หรือ justification/legitimacy ต่อการที่จะ (ยัง) ไม่ "ปฏิรูป" ไม่ว่าจะเป็นสถาบันใดๆ ของไทยแทบทุกสถาบันด้วย เช่นกัน



(ชาญวิทย์ เกษตรศิริ 11/12/2011 "รำพึงสยาม" หลังคืนจันทรคราสเต็มดวง)

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຢ່າ ລືມ ວັນທີ່ 16 ເດືອນ12 ເວລາ 17ໂມງ30
ຈຸກນັດພົບຂອງ ອະດິດ ນຍ ຄົນທີ່ 5 ບັວສອນ
ທີ່ເດິນພະທາດຫລວງ
ວັນປິ້ນປະວັດສາດ ສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມ ປອດ ໂຈນ ຜດກ ປົ້ນຊາດແດກເມືອງ

ຄົນໃນຣັຖບານ ທອງສີງ ມິໃຜ
ເປິດໂສມຫ້ນາແລ້ວໃນວີທຍຸແຫ່ງນີ້

www.siengserixonlao.com


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ดับอีก ขตล.กลุ่มร่วมขบวนยึดด่านวังเตา


นาย ไพฑูรย์ มาลาวรรณ ผู้ตายเป็นหนึ่งในกลุ่มขตล.ที่บุกยึดด่านวังเตาเมื่อปี 43 เหตุการณ์ครั้งนั้นมีคนตายหลายคน ซึ่งผู้ตายหนีรอดไปได้


อุบลราชธานี-มือ ปืนบุกปลิดชีพคาห้องครัวหลังบ้านหนึ่งในกลุ่มขบวนการต่อต้านประเทศลาว หรือ ขตล.พยายามหนีแต่ไม่รอดสิ้นใจข้างถนน เผย ผู้ตายเป็นหนึ่งในแกนนำ ขตล.กลุ่มเดียวกันกับ พ.ท.สีสุก ไชยแสง ที่ถูกยิงตายไปเมื่อปี 2546

เมื่อ เวลา 20.45 น.วันที่ 30 พ.ค. ร.ต.ต.อติวรรต ศรีเมือง ร้อยเวร สภ.อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ได้รับแจ้งมีคนถูกยิงตายที่หน้าบ้านเลขที่ 56 หมู่ 12 บ้านหนองโดน ต.คันไร่ จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.มงคล ลิ้มสุวรรณ ผกก. พ.ต.ท.จำนงค์ มีแก้ว รอง ผกก.สส.รีบรุดไปชันสูตรพลิกศพ พบคนตายทราบ ชื่อ นายไพฑูรย์ มาลาวรรณ อายุ 61 ปี นอนเสียชีวิตในสภาพเลือดท่วมตัว มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนอาก้า ที่ไหล่ซ้ายกระสุนทะลุลำคอขวา 1 นัด นอนเสียชีวิตอยู่กลางถนน

ส่วนที่เกิดเหตุอยู่ในห้อง ครัวบ้านเลขที่ 159 ซึ่งเป็นบ้านของผู้ตายตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน จึงเข้าตรวจสอบบ้านเกิดเหตุพบหัวกระสุนปืนตกอยู่ 1 หัว และบริเวณกอหญ้าใกล้หน้าต่างห้องครัวด้านนอก พบปลอกกระสุนปืนอาก้า 1 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานใช้ประกอบคดี

จากการสอบสวนทราบ ว่า ก่อนเกิดเหตุ นายไพฑูรย์ ได้ลงมาก่อไฟในห้องครัวทำอาหาร โดยมีเมียและลูกนั่งเล่นอยู่ในบ้าน ระหว่างที่นายไพฑูรย์ก้มหน้าก้มตาก่อไฟอยู่นั้น มีคนร้าย 1 คน ใช้วิธีเดินเท้าเข้ามาจากป่าหลังบ้าน แล้วใช้ปืนที่เตรียมมาประทับยิงผู้ตายที่อยู่ห่างราว 2- 3 เมตร เมื่อผู้ตายถูกยิง ไม่ได้เสียชีวิตทันที จึงวิ่งหลบหนีออกจากห้องครัวข้ามสะพานคลองส่งน้ำชลประทานออกไปนอนตายอยู่ กลางถนนที่พบศพ

สำหรับสาเหตุที่ถูกยิง สันนิษฐานว่า ผู้ตายเป็นคนในขบวนการต่อต้านประเทศลาว หรือ ขตล.ในกลุ่มของ พ.ท.สีสุก ไชยแสง ที่ถูกยิงตายไปเมื่อปี 2546

ขบวนการล่าสังหาร ขตล.กลุ่มนี้ แหล่งข่าววงในแจ้งว่า เป็นคนละกลุ่มกับนายอาทิตย์ กลิ่นจันทร์ ที่ถูกตำรวจกองปราบปรามจับได้เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยเป็นขบวนการล่าสังหาร ขตล.ในกลุ่มของนายตำรวจนอกราชการยศ พ.ต.ท.คนหนึ่ง ซึ่งมีพฤติกรรมใช้อาวุธปืนสงครามสังหารเหยื่อเจ้าหน้าที่ จึงส่งหัวกระสุน และปลอกกระปืนที่พบในที่เกิดเหตุ เพื่อเปรียบเทียบกับหัวกระสุนปืนในคดียิง ขตล.รายอื่นเมื่อหลายปีที่ผ่านมาด้วย

สำหรับประวัติ ผู้ตาย อดีตเคยเป็นทหารลาวขาว ที่หลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน และมีส่วนสำคัญในการวางแผนบุกยึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2543 แต่สามารถหลบหนี โดยไม่ถูกทางการไทยจับกุม และได้กลับเข้ามาฝังตัวร่วมเคลื่อนไหวกับเพื่อนในขบวนการอีก ก่อนเสียชีวิตประมาณ 2 วัน นายไพฑูรย์คนตายได้พูดกับคนใกล้ชิด ว่า ร.อ.สุกัน ถูกฆ่าตายไปแล้ว รายต่อไปน่าจะเป็นตนเอง เพราะมีความใกล้ชิดกัน จนกระทั่งมาถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด

ส่วนพฤติกรรมการ ใช้ปืนอาก้าสังหารเหยื่อที่อยู่ในขบวนการต่อต้านประเทศลาว หรือ ขตล. ของซุ่มมือปืนนายตำรวจนอกราชการรายนี้ เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2544 คนร้ายใช้เรือหางยาวเป็นพาหนะใช้ปืนอาก้าบุกยิงท้าวภูเวียง ไม่ทราบนามสกุล ขณะนอนหลับในบ้านพักที่บ้านคันท่าแพ ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม

เดือน ต่อมาคนร้ายใช้ปืนอาก้ายิงท้าวสง่า ไม่ทราบนามสกุล ที่บ้านเหล่าอินแปลง ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน คนร้ายใช้อาวุธปืน 11 มม.ยิงท้าวทอง ไม่ทราบนามสกุล ตายที่หมู่บ้านสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร เดือน เม.ย.2545 คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงท้าวคำบอน ที่บ้านคำมันปลา อ.สิรินธร แต่ไม่ตาย

หลังรักษาตัวจนหายดี ท้าวคำบอน ที่เป็นเพื่อนสนิทของ ร.อ.สุกัน ได้ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี โดยไม่กลับมาอีกเลย และรายสุดท้ายยิง พ.ท.สีสุก ไชยแสง หน.ขบวนการต่อต้านลาว เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2546 ในหมู่บ้านประชาสมบูรณ์ ต.นิคมลำโดมน้อย อ.สิรินธร.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Seng Chidhalay 13. Dezember 17:46
ສະບາຍດີ ພີ່ນ້ອງຄົນລາວຮັກຊາດ ທຸກຄົນ,
ອິງຕາມແຫລ່ງຂ່າວ ທີ່ໜ້າເຊື່ອຖືໄດ້ ສະພາບການໃນລາວກຳລັງເຄັ່ງຕຶງ ເພາະມີ
ການແຍ້ງຊິງອຳນາດກັນເອງ ລະຫວ່າງ ກຸ່ມທາງໃຕ້ ແລະກຸ່ມທາງເໜືອ ...ໝາຍ
ຄວາມວ່າ ລະຫວ່າງ ກຸ່ມ ອະດີດ ນາຍົກເກົ່າ ທ່ານ ບົວສອນ ຜຸບຜາວັນ ແລະ
ກຸ່ມ ນາຍົກ ຄົນ ປະຈຸບັນ ທ່ານ ທອງສິງ ທຳມະວົງ...ຫລືຈະເບິ່ງໄປອີກ ແງ່ນື່ງ
ກໍແມ່ນ ການສູ້ຢັນກັນລະຫວ່າງກຸ່ມ ນິຍົມຈີນ ແລະ ກຸ່ມ ນິຍົມວຽດນາມ...
ດັ່ງທີ່ ມີຂ່າວປ່າວປີວອອກມາ ວ່າ ໃນ ມື້ວັນເສົາ ທີ່ 16 ທັນວາ ນີ້ ຈະມີການ
ລົງເດີ່ນປະທ້ວງ ຢູ່ໃນບໍຣິເວນ ເດີ່ນທາດຫລວງ ນະຄອນວຽງຈັນ ນັ້ນ ກໍແມ່ນ
ມີສ່ວນມາຈາກ ການຂັດແຍ້ງ ກັນພາຍໃນ...ພວກບັນດານາຍທະຫານ ສ່ວນໃຫຍ່
ແມ່ນ ຍັງສນັບສນຸນ ທ່ານ ບົວສອນ ຢູ່...ປະຊາຊົນ ໃນທົ່ວປະເທດ ກໍເບື່ອໜ່າຍ
ຕໍ່ພວກຜູ້ນຳ ທີ່ສໍ້ໂກງປະເທດ ຊາດບ້ານເມືອງ ສ່ຳກັບບັກລາເບື່ອເຂົ້າຫລາມແລ້ວ..
ຂໍໃຫ້ແຕ່ມີໂອກາດ ປະຊາຊົນລາວ ຜູ້ທີ່ຮັກຊາດ ລວມໄປເຖິງ ພະນັກງານລັດ ນັກຮຽນ ນັກສຶກສາ ທະຫານຕຳຣວດ ພໍ່ຄ້າຊາວຂາຍ ກໍຈະພາກັນອອກມາ ຂັບໄລ່
ພວກ ໂຈນ 500 ຢ່າງບໍ່ຕ້ອງສົງໃສ!!! ຖ້າມີຂ່າວຄືບໜ້າ ຂພຈ. ຈະໄດ້ຕິດຕາມ
ເອົາມາ ແຈ້ງໃຫ້ພໍ່ແມ່ ພີ່ນ້ອງ ຄົນລາວຮັກຊາດ ຊາບທົ່ວເຖິງກັນ....ຂໍໃຫ້ພວກເຮົາ
ຈົ່ງພາກັນເອົາໃຈໃສ່ ແລະຕຽມປະກອບສ່ວນ ເພື່ອຊຸກຍູ້ໃຫ້ ມີການປ່ຽນແປງ...ຄັ້ງປະວັດສາດໃຫ້ໄດ້....!
ຮັກແພງ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

By Kate McGeown
BBC News Online
Rebel insurgents

The Hmong are a little-known people in a secretive land
But there is increasing evidence that the Hmong are fighting back.
Over the last few decades, there have been persistent rumours of rebel
fighters living in remote jungle areas - the kind of reports which the three
foreigners now on trial were trying to confirm.
Sunai Phasuk says it is very difficult to get accurate information about the
number of rebels in Laos, or the activities they are engaged in.

Three foreigners were arrested while researching the Hmong in 2003
But last month Andrew Perrin, a journalist from Time Asia magazine, managed
to gain access to a remote rebel camp, where he met hundreds of Hmong
families.
"What we found really surprised us. There were 800-900 people - far more
than we had thought - and we were told there were another 20 similar groups
around Laos," he told BBC News Online.
The group he encountered was living in a state of constant siege, with women
and children in desperate need of food and medical attention - and
constantly on the run from the Lao authorities.
"These people are hunted like wild animals," said Mr Perrin. "It has been
going on for nearly 30 years."
"From their hill-top camps, military patrols fire rockets into the jungle.
If they spot someone, they shoot."
In public, the Lao Government denies that the Hmong rebels exist.
But diplomatic sources have said that, behind the scenes, the authorities
believe the rebels are behind a spate of recent ambush attacks on buses in
the region.
Sunai Phasuk said it was not in the government's interest to openly blame
the Hmong for the attacks, as it would imply the authorities were no longer
in control of the situation.
So, instead, the attacks are blamed on "bandits" or "bad people".
Amnesty's Daniel Alberman rebuffed that explanation.
"You don't kill a load of bus passengers if you're a bandit," he said.
Andrew Perrin said it was impossible to say who was behind the bus attacks.
Eyewitnesses have claimed that those responsible spoke the Hmong language
and looked like ethnic Hmong.
But Mr Perrin said the Hmong he met denied being involved in any attacks. He
said there was even a possibility that the military itself was behind the
ambushes.
The truth of the matter is likely to remain difficult to determine, and the
continuing violence could well deter others from investigating further.


Par Kate McGeown
BBC Nouvelles en ligne
Insurgés rebelles

Les Hmong sont un peuple peu connu dans un pays secret
Mais il ya plus de preuves que les Hmong sont riposter.

Au cours des dernières décennies, il ya eu des rumeurs persistantes de rebelles
combattants vivant dans des zones de jungle à distance - le type de rapports dont les trois
étrangers aujourd'hui en procès tentaient de confirmer.
Sunai Phasuk affirme qu'il est très difficile d'obtenir des informations précises sur les
nombre de rebelles au Laos, ou des activités qu'ils sont engagés po

Trois étrangers ont été arrêtés alors des recherches sur les Hmong en 2003
Mais le mois dernier, Andrew Perrin, un journaliste du Time Asia magazine, géré
pour accéder à un camp de rebelles à distance, où il a rencontré des centaines de Hmongs
familles.
. «Nous avons découvert nous a vraiment surpris Il y avait 800-900 personnes - beaucoup plus
que nous l'avions pensé - et on nous a dit il y avait 20 autres groupes similaires
autour du Laos ", a déclaré à la BBC Nouvelles en ligne.
Le groupe a rencontré vivait dans un état de siège constant, avec les femmes
et les enfants dans le besoin désespéré de nourriture et de soins médicaux - et
permanence sur la course par les autorités lao.
«Ces gens sont chassés comme des animaux sauvages», a déclaré M. Perrin. "Il a été
passe près de 30 ans. "
»De leur sommet d'une colline camps, les militaires des patrouilles des roquettes dans la jungle.
Si ils aperçoivent quelqu'un, ils tirent. "
En public, le Gouvernement lao nie que les rebelles hmongs existent.
Mais des sources diplomatiques ont affirmé que, dans les coulisses, les autorités
croient que les rebelles sont derrière une série d'attaques récente embuscade contre des autobus dans
la région.
Sunai Phasuk a déclaré qu'il n'était pas dans l'intérêt du gouvernement ouvertement blâmer
les Hmong pour les attaques, car il impliquerait les autorités ne sont plus
dans le contrôle de la situation.
Ainsi, au lieu, les attentats sont attribués à des «bandits» ou «mauvaises personnes».
Amnesty Daniel Alberman repoussé cette explication.
«On ne tue pas une charge de passagers du bus si vous êtes un bandit», at-il dit.
Andrew Perrin a dit qu'il était impossible de dire qui était derrière les attaques de bus.
Des témoins oculaires ont affirmé que les responsables parlaient la langue Hmong
et ressemblait ethnique hmong.
Mais M. Perrin a déclaré que le Hmong, il a rencontré nié être impliqué dans des attaques. Il
dit qu'il n'y avait même une possibilité que l'armée elle-même était derrière le
embuscades.
La vérité de la matière est susceptible de rester difficile à déterminer, et le
la violence continue pourrait bien dissuader les autres d'enquêter davantage.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

By Kate McGeown
BBC News Online

Rebel insurgents



The Hmong are a little-known people in a secretive land
But there is increasing evidence that the Hmong are fighting back.

Over the last few decades, there have been persistent rumours of rebel fighters living in remote jungle areas - the kind of reports which the three foreigners now on trial were trying to confirm.

Sunai Phasuk says it is very difficult to get accurate information about the number of rebels in Laos, or the activities they are engaged in.


Three foreigners were arrested while researching the Hmong in 2003
But last month Andrew Perrin, a journalist from Time Asia magazine, managed to gain access to a remote rebel camp, where he met hundreds of Hmong families.

"What we found really surprised us. There were 800-900 people - far more than we had thought - and we were told there were another 20 similar groups around Laos," he told BBC News Online.

The group he encountered was living in a state of constant siege, with women and children in desperate need of food and medical attention - and constantly on the run from the Lao authorities.

"These people are hunted like wild animals," said Mr Perrin. "It has been going on for nearly 30 years."

"From their hill-top camps, military patrols fire rockets into the jungle. If they spot someone, they shoot."

In public, the Lao Government denies that the Hmong rebels exist.

But diplomatic sources have said that, behind the scenes, the authorities believe the rebels are behind a spate of recent ambush attacks on buses in the region.

Sunai Phasuk said it was not in the government's interest to openly blame the Hmong for the attacks, as it would imply the authorities were no longer in control of the situation.

So, instead, the attacks are blamed on "bandits" or "bad people".

Amnesty's Daniel Alberman rebuffed that explanation.

"You don't kill a load of bus passengers if you're a bandit," he said.

Andrew Perrin said it was impossible to say who was behind the bus attacks.

Eyewitnesses have claimed that those responsible spoke the Hmong language and looked like ethnic Hmong.

But Mr Perrin said the Hmong he met denied being involved in any attacks. He said there was even a possibility that the military itself was behind the ambushes.

The truth of the matter is likely to remain difficult to determine, and the continuing violence could well deter others from investigating further.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ກຽ່ວຂ້ອງໃນຂ່າວນີ້ອະທິບາຍເພີ້ມແດ່.

ວັນສຸກທີ 16 ທັນວາ 2011 ນີ້ ເລີ່ມແຕ່ເວລາ 17:30 ໂມງເປັນຕົ້ນໄປ ຈະໄດ້ມີການໂຮມຊຸມນຸມຄັ້ງໃຫ່ຍ ຂໍຢໍ້າ (ຄັ້ງໃຫ່ຍ)ອີກເທີ່ອໜຶ່ງໃນປະຫວັດສາດລາວເຮົາ ຢູ່ທີ່ເດີ່ນພະທາດຫຼວງວຽງຈັນ ນຳໂດຍພະນະທ່ານ ບົວສອນ ບຸບຜາວັນ ອະດີດນາຍົກລັຖມົນຕີລາວເຮົາ ທີ່ຖືກເດັ້ງໂດຍກຸ່ມຫົວນິຍົມຫວຽດນາມ ຍ້ອນທ່ານບົວສອນເພິ່ນນິຍົມຈີນ. ໃນອະດີດທ່ານບົວສອນ ກໍເປັນນັກສຶກສາຄົນໜຶ່ງທີ່ມີຜົນງານ ເດັ່ນໃນການເປັນແກນນຳໂຮມຊຸມນຸມ. ອີກທ່ານໜຶ່ງທີ່ຈະເປັນແກນນຳໃນຄັ້ງນີ້ແມ່ນທ່ານ ສຸລິວົງ ດາລາວົງ ລັຖະມົນຕີ ພະລັງານບໍ່ແຮ່ ເປັນລຸງ ເຮົາເອງ. ຄາດກັນວ່າ ທ່ານ ສົມສະຫວາດ ເລັ່ງສະຫວັດ ກໍຈະເຂົ້າຮ່ວມ.
ທຸກໆຄົນສາມາດເຂົ້າຮ່ວມໄດ້ ເພື່ອສະແດງພະລັງວ່າເຮົາຄົນລາວບໍມັກການຕົກເປັນຫົວເມືອງແບບໃໝ່ໃຫ້ແກ່ຫວຽດນາມ!

ກະລຸນາ copy ຂຽນໃສ່ status ຂອງທ່ານແລ້ວບອກຕໍ່ໆກັນໄປ. Copy ມາຈາກອ້າຍ ຕູ່ ຄົນຮັກຊາດລາວ

.............................................................................................................

ຫລານສາວຂອງດຣ ຄຳເຜິຍ ປານມະລັຍທອງ ຊື້ງຈະເຂົ້າຮ່ວມເດິນຂະບວນປະທ້ວງຄັ້ງຍີ່ງໄຫ່ຍທີ່16.12
ຫລານສາວຂອງດຣ ຄຳເຜິຍ ປານມະລັຍທອງ ຊື້ງຈະເຂົ້າຮ່ວມເດິນຂະບວນປະທ້ວງຄັ້ງຍີ່ງໄຫ່ຍທີ່16.12
ຫລານສາວຂອງດຣ ຄຳເຜິຍ ປານມະລັຍທອງ ຊື້ງຈະເຂົ້າຮ່ວມເດິນຂະບວນປະທ້ວງຄັ້ງຍີ່ງໄຫ່ຍທີ່16.12
ຫລານສາວຂອງດຣ ຄຳເຜິຍ ປານມະລັຍທອງ ຊື້ງຈະເຂົ້າຮ່ວມເດິນຂະບວນປະທ້ວງຄັ້ງຍີ່ງໄຫ່ຍທີ່16.12

http://laofr.blogspot.com/2011/12/new-miss-minnesota-is-first-lao.html

2011-12-12
New Miss Minnesota is first Lao-American to hold title

http://minnesota.publicradio.org

>>>PHOTOS : Miss MINNESOTA USA 2012


The state will send an Asian-American to the Miss USA pageant next year.

Nitaya Panemalaythong, 26, of Savage was crowned Miss Minnesota last month. The office worker and Normandale College student is the first Asian-American to win the honors, according to pageant producers.

Panemalaythong, whose family is from Laos, was born in a refugee camp in Thailand. In 1986, she moved to the United States as an infant. Her family lived in Minneapolis and North Carolina.

Her bio says her proudest achievement was buying a house last year. Why?

"She and her brother in law support 10 family members, living in that home," the bio says.

Panemalaythong was at first skeptical about entering the pageant, and at 26, she was the oldest contestant in the competition, the Savage Pacer reports.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Une Lao-Américaine devient Miss Minnesota

Son nom est Nitaya Panemalaythong, elle a 26 ans et c'est la nouvelle Miss Minnesota. Elle est la plus âgée des participantes.

Elle participera l'année prochaine à l'élection de Miss USA.

Nitaya Panemalaythong est née dans un camp de réfugiés en Thailande et arrive aux Etats-Unis lorsqu'elle était encore nourrisson en 1986.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

2 December 2011 Last updated at 16:24 GMT
Share this page

* Email
* Print

Share this page

* Share
* Facebook
* Twitter

French colonel 'killed himself in pro-Hmong protest'
Hmong refugees repatriated to Laos i(December 2009) Thailand repatriated almost 5,000 Hmong refugees to Laos in December 2009
Continue reading the main story
Related Stories

* Many Vietnamese Hmong 'in hiding'
* Vietnam 'seals off protest site'
* Country profile: Vietnam

A retired French colonel has killed himself to protest against "indifference" to the plight of Laos's Hmong minority, French media say.

Col Robert Jambon, 86, shot himself in October on the steps of the "Indochina monument" in Dinan in western France.

In a suicide letter published by Ouest France, he described his action as "an act of war aimed at rescuing our brothers-in-arms facing death".

Ethnic Hmong have been complaining of discrimination in Vietnam and Laos.

Col Jambon fought alongside Hmong during France's war in South-East Asia in the 1940s and early 1950s.

Many members of the community joined French forces during the conflict - known in the country as the "Indochina war".

In the suicide note, the colonel wrote: "After a long period of disappointment I have decided to play my final card, or more precisely my final bullet."

He said the suicide was aimed at expressing his "shame and to protest against the cowardly indifference of our officials in the face of the terrible misfortune that is hitting our friends in Laos".

Col Jambon said he had been particularly outraged by the lack of international reaction to Thailand's decision to expel thousands of Hmong refugees two years ago.

"As for you, governments without honour and big media without honour, I spit my blood and my contempt in your face," his letter says.

The Hmong communities of northern Laos and Vietnam also fought alongside US forces during the Vietnam War, and feel they are discriminated against because of their past.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ກຽ່ວຂ້ອງໃນຂ່າວນີ້ອະທິບາຍເພີ້ມແດ່.

ວັນສຸກທີ 16 ທັນວາ 2011 ນີ້ ເລີ່ມແຕ່ເວລາ 17:30 ໂມງເປັນຕົ້ນໄປ ຈະໄດ້ມີການໂຮມຊຸມນຸມຄັ້ງໃຫ່ຍ ຂໍຢໍ້າ (ຄັ້ງໃຫ່ຍ)ອີກເທີ່ອໜຶ່ງໃນປະຫວັດສາດລາວເຮົາ ຢູ່ທີ່ເດີ່ນພະທາດຫຼວງວຽງຈັນ ນຳໂດຍພະນະທ່ານ ບົວສອນ ບຸບຜາວັນ ອະດີດນາຍົກລັຖມົນຕີລາວເຮົາ ທີ່ຖືກເດັ້ງໂດຍກຸ່ມຫົວນິຍົມຫວຽດນາມ ຍ້ອນທ່ານບົວສອນເພິ່ນນິຍົມຈີນ. ໃນອະດີດທ່ານບົວສອນ ກໍເປັນນັກສຶກສາຄົນໜຶ່ງທີ່ມີຜົນງານ ເດັ່ນໃນການເປັນແກນນຳໂຮມຊຸມນຸມ. ອີກທ່ານໜຶ່ງທີ່ຈະເປັນແກນນຳໃນຄັ້ງນີ້ແມ່ນທ່ານ ສຸລິວົງ ດາລາວົງ ລັຖະມົນຕີ ພະລັງານບໍ່ແຮ່ ເປັນລຸງ ເຮົາເອງ. ຄາດກັນວ່າ ທ່ານ ສົມສະຫວາດ ເລັ່ງສະຫວັດ ກໍຈະເຂົ້າຮ່ວມ.
ທຸກໆຄົນສາມາດເຂົ້າຮ່ວມໄດ້ ເພື່ອສະແດງພະລັງວ່າເຮົາຄົນລາວບໍມັກການຕົກເປັນຫົວເມືອງແບບໃໝ່ໃຫ້ແກ່ຫວຽດນາມ!

ກະລຸນາ copy ຂຽນໃສ່ status ຂອງທ່ານແລ້ວບອກຕໍ່ໆກັນໄປ. Copy ມາຈາກອ້າຍ ຕູ່ ຄົນຮັກຊາດລາວ

   
Best Regards,

specom

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ບັກວີນັຍ ຫລຶ ເພັຊຄາດ ຫລານຊາຍສາວທອງສີສອນຣາຊບຸດ ອະດິດຜູ້ອຳນວຍການ ວີທຍຸ France Inter Paris ເປັນຕັວການ ທີ່ ສົ່ງ ຮູບຂາດ ຫລັກຖານ ທີ່ ແວບໄຊໃນລານ ວ່າ ທ່ານ ທອງສຸກ ໄປ ຖາມຂ່າວຖາມຄາວ ຈັບມື ກັບສະຫາຍທອງລຸນ ສິສຸລິດ ຣມຕ ຕ່າງ ປທ ຂອງ ສປປລ ຢ່າງບອກຍອມຣັບບໍ່ໄດ້ເດັດຂາດເດິ
ສະນັ້ນບັນຫານີ້ຕົກໄປແລ້ວ ບໍ່ຈຳເປັນມາຖົກຖຽງກັນອິກຕໍ່ໄປ ໃຜເຊື່ອກະເປັນຄວາຍທັງນັ້ນ
ອົມພະມາເວົ້າ ມາອ້າງກະບໍ່ມີໃຜເຊື່ອໄດ້ຢ່າງແນ່ນອນເລື້ອງນີ້ ໃນ ເມື່ອ ທ່ານທອງສຸກເອງກະມີແນວຄິດຕ້ານ ຜດກໂຈນ500 ລາວແດງ ຮຽກຣ້ອງເອົາສີຣພາບມາໃຫ້ພີ່ນ້ອງລາວຢ່າງຕໍ່ເນື່ອງ
ສະຫາຍSary Tatpaporn
Washingto,DC, USA ມືງເຊົາເອົາສີ່ງນີ້ມາຖົກຖຽງກັນໄດ້ແລ້ວ ໂອເຄ

ພີພັກສາ


www.siengserixonlao.com

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 



ทุ่ม 400 ล.ตัดสัญญาณเว็บหมิ่นเมืองนอก
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2554 เวลา 17:19 น. dailynews
"เฉลิม"ลั่นเตรียมปิด 200เว็บไทยเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน ส่วนเว็บนอก ชง ครม.ซื้อเครื่องมือมูลค่า 400 ล้านป้องกัน

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวก่อนประชุมคณะกรรมอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอ ข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสมผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร ว่า ในประเด็นนี้หลายรัฐบาลได้ทำมา แต่ไม่สามารถจัดการอะไรได้ เนื่องจากมีการอ้างว่าเว็บไซต์เหล่านั้นมีการเปิดมาจากเมือนอก ซึ่งการดำเนินคดีเป็นไปได้ยาก และมีเว็บไซต์ที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันภายในประเทศไทยบ้าง แต่ไม่สามารถจับกุมได้ ฉะนั้นบุคคลใดพูดอย่างนี้ถือว่าโกหก ส่วนเว็บไซต์ในต่างประเทศนั้นห้ามไม่ได้จริง แต่ถ้ารู้ว่าไม่เหมาะสมสามารถบล็อกและตัดสัญญาณออกได้ ครั้งนี้รัฐบาลได้มอบหมายให้ตนและ ผบ.ตร.ดูแลเรื่องเกี่ยวกับการจัดการเว็บไซต์หมิ่นต่างๆ งานนี้จะไม่มีประชุมแต่เน้นจัดการทันที



ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า มี รอง ผบก.ปอท.นายหนึ่ง ซึ่งเก่งด้านนี้ บอกว่า สำหรับเว็บไซต์มาจากภายนอกประเทศ มีเครื่องมือที่สามารถตัดสัญญาณได้ ซึ่งต้องใช้งบประมาณ 400 ล้านบาท ฉะนั้นตนได้แจ้งเลขาธิการนายกฯ ในที่ประชุม ครม.นัดพิเศษ จะให้กระทรวงไอซีทีตั้งงบประมาณจัดซื้อเครื่องมือดังกล่าวเข้ามาใช้ อย่างไรก็ตามตนและ ผบ.ตร.ไม่ได้มีความต้องการที่จะใช้งบประมาณดังกล่าว และตำรวจไม่เอา แต่ตำรวจพร้อมที่ทำงานให้ จากนี้ต่อไปจะมีมากน้อยเท่าไหร่ไม่แน่ แต่ต้องน้อยกว่าเดิมและมีมาตรการเข้ม ข้อความไม่บังควรเราไม่เผยแพร่ แต่ถ้าได้เครื่องมือที่ตัดสัญญาณได้ก็เรียบร้อย

ผู้สื่อข่าวถามว่า เครื่องมือดังกล่าวจะสามารถตัดสัญญาณได้ 100% หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า นายตำรวจคนดังกล่าวชี้แจงว่าสามารถดำเนินการได้เกือบ 100% เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ทำไม่ได้ เว้นแต่จะทำจริงหรือไม่ โดยมีบางคนไปพูดมาก ถ้าไปทำเรื่องนี้เอ็นจีโอ หรือต่างชาติจะดูไม่ดี แต่ที่นี่เมืองไทย เราไม่ได้ละเมิดสิทธิ เพราอะไรที่แสดงออกตามพื้นฐานความชอบธรรม ก็ควรทำไป ส่วนจะเริ่มปฏิบัติการวันไหนนั้น เราจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. แต่ภายในวันนี้จะกำหนดว่าใครมีหน้าที่อะไร

เมื่อถามว่ามีกลุ่มเป้าหมายแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า มีกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาเกรงใจ ที่ผ่านมาก็กลัวกัน บอกไม่ได้ว่ามีกี่เป้าหมาย แต่ที่ผ่านมาได้มีเจ้าของเว็บไซต์ติดต่อมาว่า ไม่มีการทำอะไรหมิ่นประมาทอย่างนั้น แต่ไม่ได้ดู แต่คุณอ้างอย่างนี้ไม่ได้ เมื่อคุณรับทราบคุณต้องแก้ไข เมื่อถามว่ามีบางกลุ่มที่หมิ่นสถาบัน เข้าไปเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า ไม่ว่าสีเสื้อไหนถ้าทำผิกกฎหมายก็ผิด เสื้อสีไหนก็ต้องจับหมด เรามีการเก็บข้อมูลไว้หมดแล้ว อยากจะฝากบอกไปยังเอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ที่ออกมาเรียกร้องละเมิดสิทธิ ถ้าอยู่ที่เมืองไทยก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย


ทั้งนี้ในที่ประชุมได้รายงานว่า กระทรวงไอซีที มีรายชื่อเว็บไซด์ ในไทย 200 แห่งที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันและสามารถสั่งปิดได้ในทันที โดยเตรียมพร้อมประสานงานกับตำรวจเพื่อดำเนินการแล้ว

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ຖ່ານ ຈູມມາລິ

ວັນທີ 10 ທັນວາ ເປັນວັນສາກົນແຫ່ງການເທີດທູນສີດທີມຸສ
ຈົ່ງປ່ອຍນັກໂທດການເມືອງ ດ່ວນ ແລະ ໄວໆ ອິກດ້ວຍ


http://www.mldh-lao.org/France1.htm



Now, Therefore THE GENERAL ASSEMBLY proclaims THIS UNIVERSAL DECLARATION OF HUMAN RIGHTS as a common standard of achievement for all peoples and all nations, to the end that every individual and every organ of society, keeping this Declaration constantly in mind, shall strive by teaching and education to promote respect for these rights and freedoms and by progressive measures, national and international, to secure their universal and effective recognition and observance, both among the peoples of Member States themselves and among the peoples of territories under their jurisdiction.
^ Top
Article 1.
All human beings are born free and equal in dignity and rights.They are endowed with reason and conscience and should act towards one another in a spirit of brotherhood.
^ Top
Article 2.
Everyone is entitled to all the rights and freedoms set forth in this Declaration, without distinction of any kind, such as race, colour, sex, language, religion, political or other opinion, national or social origin, property, birth or other status. Furthermore, no distinction shall be made on the basis of the political, jurisdictional or international status of the country or territory to which a person belongs, whether it be independent, trust, non-self-governing or under any other limitation of sovereignty.
^ Top
Article 3.
Everyone has the right to life, liberty and security of person.
^ Top
Article 4.
No one shall be held in slavery or servitude; slavery and the slave trade shall be prohibited in all their forms.
^ Top
Article 5.
No one shall be subjected to torture or to cruel, inhuman or degrading treatment or punishment.
^ Top
Article 6.
Everyone has the right to recognition everywhere as a person before the law.
^ Top
Article 7.
All are equal before the law and are entitled without any discrimination to equal protection of the law. All are entitled to equal protection against any discrimination in violation of this Declaration and against any incitement to such discrimination.
^ Top
Article 8.
Everyone has the right to an effective remedy by the competent national tribunals for acts violating the fundamental rights granted him by the constitution or by law.
^ Top
Article 9.
No one shall be subjected to arbitrary arrest, detention or exile.
^ Top
Article 10.
Everyone is entitled in full equality to a fair and public hearing by an independent and impartial tribunal, in the determination of his rights and obligations and of any criminal charge against him.
^ Top
Article 11.
(1) Everyone charged with a penal offence has the right to be presumed innocent until proved guilty according to law in a public trial at which he has had all the guarantees necessary for his defence.
(2) No one shall be held guilty of any penal offence on account of any act or omission which did not constitute a penal offence, under national or international law, at the time when it was committed. Nor shall a heavier penalty be imposed than the one that was applicable at the time the penal offence was committed.
^ Top
Article 12.
No one shall be subjected to arbitrary interference with his privacy, family, home or correspondence, nor to attacks upon his honour and reputation. Everyone has the right to the protection of the law against such interference or attacks.
^ Top
Article 13.
(1) Everyone has the right to freedom of movement and residence within the borders of each state.
(2) Everyone has the right to leave any country, including his own, and to return to his country.
^ Top
Article 14.
(1) Everyone has the right to seek and to enjoy in other countries asylum from persecution.
(2) This right may not be invoked in the case of prosecutions genuinely arising from non-political crimes or from acts contrary to the purposes and principles of the United Nations.
^ Top
Article 15.
(1) Everyone has the right to a nationality.
(2) No one shall be arbitrarily deprived of his nationality nor denied the right to change his nationality.
^ Top
Article 16.
(1) Men and women of full age, without any limitation due to race, nationality or religion, have the right to marry and to found a family. They are entitled to equal rights as to marriage, during marriage and at its dissolution.
(2) Marriage shall be entered into only with the free and full consent of the intending spouses.
(3) The family is the natural and fundamental group unit of society and is entitled to protection by society and the State.
^ Top
Article 17.
(1) Everyone has the right to own property alone as well as in association with others.
(2) No one shall be arbitrarily deprived of his property.
^ Top
Article 18.
Everyone has the right to freedom of thought, conscience and religion; this right includes freedom to change his religion or belief, and freedom, either alone or in community with others and in public or private, to manifest his religion or belief in teaching, practice, worship and observance.
^ Top
Article 19.
Everyone has the right to freedom of opinion and expression; this right includes freedom to hold opinions without interference and to seek, receive and impart information and ideas through any media and regardless of frontiers.
^ Top
Article 20.
(1) Everyone has the right to freedom of peaceful assembly and association.
(2) No one may be compelled to belong to an association.
^ Top
Article 21.
(1) Everyone has the right to take part in the government of his country, directly or through freely chosen representatives.
(2) Everyone has the right of equal access to public service in his country.
(3) The will of the people shall be the basis of the authority of government; this will shall be expressed in periodic and genuine elections which shall be by universal and equal suffrage and shall be held by secret vote or by equivalent free voting procedures.
^ Top
Article 22.
Everyone, as a member of society, has the right to social security and is entitled to realization, through national effort and international co-operation and in accordance with the organization and resources of each State, of the economic, social and cultural rights indispensable for his dignity and the free development of his personality.
^ Top
Article 23.
(1) Everyone has the right to work, to free choice of employment, to just and favourable conditions of work and to protection against unemployment.
(2) Everyone, without any discrimination, has the right to equal pay for equal work.
(3) Everyone who works has the right to just and favourable remuneration ensuring for himself and his family an existence worthy of human dignity, and supplemented, if necessary, by other means of social protection.
(4) Everyone has the right to form and to join trade unions for the protection of his interests.
^ Top
Article 24.
Everyone has the right to rest and leisure, including reasonable limitation of working hours and periodic holidays with pay.
^ Top
Article 25.
(1) Everyone has the right to a standard of living adequate for the health and well-being of himself and of his family, including food, clothing, housing and medical care and necessary social services, and the right to security in the event of unemployment, sickness, disability, widowhood, old age or other lack of livelihood in circumstances beyond his control.
(2) Motherhood and childhood are entitled to special care and assistance. All children, whether born in or out of wedlock, shall enjoy the same social protection.
^ Top
Article 26.
(1) Everyone has the right to education. Education shall be free, at least in the elementary and fundamental stages. Elementary education shall be compulsory. Technical and professional education shall be made generally available and higher education shall be equally accessible to all on the basis of merit.
(2) Education shall be directed to the full development of the human personality and to the strengthening of respect for human rights and fundamental freedoms. It shall promote understanding, tolerance and friendship among all nations, racial or religious groups, and shall further the activities of the United Nations for the maintenance of peace.
(3) Parents have a prior right to choose the kind of education that shall be given to their children.
^ Top
Article 27.
(1) Everyone has the right freely to participate in the cultural life of the community, to enjoy the arts and to share in scientific advancement and its benefits.
(2) Everyone has the right to the protection of the moral and material interests resulting from any scientific, literary or artistic production of which he is the author.
^ Top
Article 28.
Everyone is entitled to a social and international order in which the rights and freedoms set forth in this Declaration can be fully realized.
^ Top
Article 29.
(1) Everyone has duties to the community in which alone the free and full development of his personality is possible.
(2) In the exercise of his rights and freedoms, everyone shall be subject only to such limitations as are determined by law solely for the purpose of securing due recognition and respect for the rights and freedoms of others and of meeting the just requirements of morality, public order and the general welfare in a democratic society.
(3) These rights and freedoms may in no case be exercised contrary to the purposes and principles of the United Nations.
^ Top
Article 30.
Nothing in this Declaration may be interpreted as implying for any State, group or person any right to engage in any activity or to perform any act aimed at the destruction of any of the rights and freedoms set forth herein.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ynWwDYOkZQ0

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=307066575991303&set=p.307066575991303&type=1#!/pages/ภูมิพลคลอดออกมาจากหีหมาขี้เรื้อน/227417943956688

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ ของ สปป ลาว


สภาแห่งชาติ เป็นอำนาจการปกครองฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ทำหน้าที่รับรองกฎหมาย และกิจกรรมต่างๆของรัฐ เช่น การสัมปทานโครงการขนาดยักษ์ต่างๆ (เล่าเท่าที่รู้เห็น)
วาระของสมาชิกสภา คือ ๕ ปีเลือกตั้งหนึ่งครั้ง
การเลือกตั้งเป็นแบบพวงใหญ่ หนึ่งแขวง(จังหวัด เลือกได้หนึ่งพวงตามจำนวนที่กำหนด)
ท่านมีการกำหนดจำนวนผู้สมัครด้วย เริ่มที่คณะประจำสภาแห่งชาติมีมติกำหนดจำนวนผู้สมัคร และจำนวนสมาชิกสภาของแต่ละแขวง แล้วนำเสนอประธานประเทศ เพื่อออกรัฐดำรัส ว่าด้วยการกำหนดจำนวนผู้สมัคร และจำนวนสมาชิกสภาแห่งชาติของแต่ละแขวง เช่นในการเลือกตั้งครั้งนี้ แขวงไชยบุรีรับผู้สมัคร ๑๐คน เลือกเอา ๗ คน กำแพงพระนครเวียงจันทน์รับผู้สมัคร ๒๑ คน เลือกเอา ๑๕คน รวมทั้งประเทศ รับผู้สมัคร ๑๙๐ท่าน และเลือกเอา ๑๓๒ท่าน
การกำหนดจำนวนสมาชิกสภา ขึ้นกับจำนวนพลเมืองในแต่ละแขวงโดยคิดสัดส่วน จำนวนพลเมือง ห้าหมื่นคนต่อสมาชิก ๑ ท่าน แต่ไม่ให้แต่ละแขวงมีสมาชิกสภาน้อยกว่า ๓คน นอกจากนั้นยังขึ้นกับจุดพิเศษของแต่ละแขวงเช่น เขตเศรษฐกิจ ชายแดน ความมั่นคงเป็นต้น
ใครสามารถใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกผู้แทน พลเมืองลาวที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไปทุกคนมีสิทธิ์เลือกผู้แทน ยกเว้น คนที่ ถูกศาลประชาชนตัดสิทธิ์ คนบ้า และคนที่ถูกตัดอิสรภาพ
ใครสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาแห่งชาติ อิงตามตัวบทกฏหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตราที่ 3 ท่านว่าพลเมืองลาวทุกคนที่มีอายุซาวเอ็ดปีขึ้นไป มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเดินไปยื่นใบสมัครเองได้นะครับ การสมัครรับเลือกตั้งต้องมีผู้เสนอรายชื่อขึ้นไปในฐานะของตัวแทนของหน่วย งานราชการ หรือองค์กรมหาชนเท่านั้น ไม่ใช่สมัครด้วยตัวเอง หลังจากการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร จากคณะกรรมการเลือกตั้ง( กกต)ท้องถิ่นแล้ว จะส่งรายชื่อไปให้กรรมการระดับชาติเป็นผู้ประกาศรายชื่อผู้สมัครอย่างเป็น ทางการ
ท่านมีข้อตกลงว่าด้วยการควบตำแหน่ง หมายความว่า ข้าราชการประจำสามารถเป็นผู้แทน หรือสมาชิกสภาได้ควบคู่กันไปด้วย เช่น ท่านอาจเป็นรองเจ้าแขวง หัวหน้าแผนกกะสิกำแขวง ก็สามารถสมัครผู้แทนได้
การหาเสียงตามกฎหมายท่านว่า ผู้สมัครมีสิทธิ์โฆษณาหาเสียงได้ แต่ต้องไม่ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น เท่าที่เคยเห็น จะเป็นเวทีที่จัดโดยคณะกรรมการท้องถิ่น จัดเวทีแนะนำผู้สมัครทุกท่าน แล้วให้แต่ละท่านปราศัย
การเลือกตั้งใช้แบบสากล คือการลงคะแนนในบัตรเลือกตั้ง เลือกกาเอาคนที่ชอบ มีการจัดสถานที่ลงคะแนน แต่ที่พิเศษคือ มีบริการหีบบัตรเคลื่อนที่สำหรับผูป่วย คนชรา คนพิการที่ไม่สามารถเดินทางมายังหน่วยเลือกตั้งได้ด้วย
การนับคะแนนเสียงนับแบบเปิดเผยที่หน่วยเลือกตั้ง
ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด เรียงลำดับจากที่ ๑ไปจนถึงลำดับที่ประกาศจำนวนผู้แทนไว้ จะได้เป็นผู้แทน
ในกรณีที่ ลำดับสุดท้ายที่จะได้เป็นผู้แทน มีมากกว่าหนึ่งคนที่ได้คะแนนเสียงเท่ากัน ท่านให้เลือกเอาผู้สมัครที่มีอายุราชการ (อายุการ)มากกว่า เป็นผู้แทน
หากอายุการยังเท่ากันอีก ทีนี้ท่านให้พิจารณาอายุของผู้สมัคร (ทางนี้ใช้คำว่า อายุ กะ-เสียน) ผู้ที่เกิดก่อน จะได้เป็นผู้แทน.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

คำถามต่อรัฐบาลเพื่อไทย

เรื่องการนำอภิสิทธิ์และพรรคพวกขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ

ใจ อึ๊งภากรณ์

เสื้อแดงทุกคนคงทราบดีว่าทนาย โรเบิรด อัมสเตอร์ดัม ได้ส่งเรื่องการก่ออาชญากรรมฆ่าประชาชนเสื้อแดงของอภิสิทธิ์และพรรคพวกเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ และเราคงทราบว่าถึงทุกวันนี้ประเทศไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบรรณต่อธรรมนูญโรม เพื่อยอมรับศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่ตอนนี้มีข้อมูลที่นำไปสู่คำถามที่เสื้อแดงทุกคนต้องถามกับรัฐบาลเพื่อไทย

ประเด็นสำคัญที่ทุกคนไม่ควรลืมคือความสำคัญของการนำคนอย่างอภิสิทธิ์ สุเทพ อนุพงษ์ และประยุทธิ์มาขึ้นศาล เพื่อไม่ให้ฆาตกรของรัฐอำมาตย์ลอยนวล และเพื่อไม่ให้วีรชนเสื้อแดงตายเปล่า เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่นกรณี 6 ตุลา หรือพฤษภา 35 เป็นต้น

การนิ่งเฉยไม่ทำอะไรของรัฐบาลเพื่อไทย บวกกับการเดินหน้าปราบคนที่คิดต่างด้วย กฏหมาย 112 หนักขึ้น กำลังทำให้อำมาตย์ ทหาร และคนอย่างอภิสิทธิ์มั่นใจมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากคำพูดของอภิสิทธิ์กับตำรวจเมื่อวันก่อนว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์จัดการกับการประท้วงของเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้วอย่าง “นิ่มนวล”

ในเรื่องการให้สัตยาบรรณต่อธรรมนูญโรม ซึ่งรัฐบาลที่ปกป้องประชาธิปไตยและเสรีภาพทุกรัฐบาลควรลงนาม จะไม่ทำให้เราสามารถนำอภิสิทธิ์และพรรคพวกขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศได้ เพราะจะเป็นการดำเนินคดีย้อนหลัง แต่มันจะมีประโยชน์มากในการห้ามปรามอาชญากรรมของรัฐไทยในอนาคต คำถามคือ “ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ลงนาม?” และเมื่อมีเสื้อแดงถามอดีตนายกทักษิณเรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้ ทำไมมีคำตอบกลับมาว่าจะไม่สนับสนุนการลงนามเพราะ “มีปัญหาส่วนตัว” คือทำไมพร้อมจะมีการลืมและหักหลังวีรชนเสื้อแดงแบบนี้?

ทั้งๆ ที่การให้สัตยาบรรณต่อธรรมนูญโรมจะไม่เปิดโอกาสให้จับอภิสิทธิ์และพรรคพวกมาขึ้นศาล แต่มีอีกวิธีที่ทำได้ทันที คือให้คณะรัฐมนตรีไทยตกลงที่จะ “ยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา 12/13 ของธรรมนูญโรม” ซึ่งนำฆาตกรมาขึ้นศาลย้อนหลังได้ เช่นในกรณีอดีตผู้นำประเทศไอวอรรี่โคสต์ ในอัฟริกา คำถามคือทำไมคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้เลือกที่จะไม่ทำ? แต่เลือกที่จะปราบปรามคนที่คิดต่าง และจำคุกเสื้อแดง?

เมื่อไม่นานมานี้ สส. สุนัย จุลพงศธร ประกาศต่อสื่อมวลชนว่าจะไปกรุงเฮก เพื่อเดินเรื่องอภิสิทธิ์และพรรคพวกกับรองประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ ฮันส์ พิเทอร์ โคล แต่คดีนี้ถูกริเริ่มโดย โรเบิรด อัมสเตอร์ดัม และการนัดพบรองประธานฮันส์ พิเทอร์ โคล ริเริ่มโดย “สหภาพเพื่อประชาธิปไตยประชาชน” ซึ่งเป็นองค์กรเสื้อแดงในยุโรป และปรากฏว่าเมื่อ สส. สุนัยเข้าพบรองประธานศาลก็มีการเปิดทางให้ทูตไทยที่เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเสื้อเหลือง เข้าไปด้วย และรองประธานศาลก็บอกกลุ่มคนไทยที่เข้าพบว่า ศาลอาญาระหว่างประเทศทำอะไรไม่ได้ถ้ารัฐบาลไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลด้วยมติคณะรัฐมนตรี

ตรงนี้คนเสื้อแดงจำนวนมากอาจมีคำถามในใจว่า สส. สุนัย เล่นเกมส์หรือเปล่า? คือสร้างภาพเพื่อกล่อมเสื้อแดงว่าพรรคเพื่อไทยกำลังเดินเรื่อง แต่ในรูปธรรมไม่ทำอะไร และให้อำมาตย์และทูตต่างประเทศรู้ด้วยว่าไม่ทำอะไร? ผมตอบคำถามนี้ไม่ได้เพราะไม่รู้ใจ สส. สุนัย

อีกสิ่งหนึ่งที่เสื้อแดงควรรับทราบคือ ถ้ารัฐบาลไทยประกาศนีรโทษกรรมทุกคนที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ความขัดแย้งในวิกฤตไทยหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา เพื่อการ “ปรองดอง” ศาลอาญาระหว่างประเทศจะไม่สามารถทำอะไรกับอภิสิทธิ์และพรรคพวกได้

นอกจากการถามคำถามกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแล้ว เราต้องตั้งคำถามกับแกนนำ นปช. ว่า “ทำไมไม่รณรงค์เคลื่อนไหวเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรี ยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา 12/13 ของธรรมนูญโรม เพื่อนำอภิสิทธิ์และพรรคพวกมาขึ้นศาลทันที?

และเราต้องถามรัฐบาลด้วยว่า ถ้าไม่อยากใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศ ทำไมไม่แจ้งความจับฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชนเมื่อปีที่แล้ว และนำมาขึ้นศาลไทยเอง?

ในเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมเป็นวันสิทธิมนุษยชน เราต้องถามและกดดันรัฐบาลอีกว่าเมื่อไรจะ

ปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน และยุติการใช้กฏหมาย 112 ตามคำเรียกร้องของสหประชาชาติ?



--
ใจ อึ๊งภากรณ์
+44(0)7817034432
http://redthaisocialist.com/



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=307066575991303&set=p.307066575991303&type=1#!/profile.php?id=100002637944890

blacksaphire@hotmail.fr>




อนุสัญญา วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 1973 คือเอกสารที่กำหนดและขยายเนื้อความที่ละเอียดชัดเจนของสัญญาเมื่อวันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ 1973 ที่กำหนดเป็นรูปเป็นร่างในการลงนามสัญญาร่วมกันที่เวียงจันทน์ เกี่ยวกับการก่อตั้งรัฐบาลผสมชั่วคราวแห่งชาติ



รวมลาวครั้งที่ 3


อนุสัญญา วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 1973 คือเอกสารที่กำหนดและขยายเนื้อความที่ละเอียดชัดเจนของสัญญาเมื่อวันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ 1973 ที่กำหนดเป็นรูปเป็นร่างในการลงนามสัญญาร่วมกันที่เวียงจันทน์ เกี่ยวกับการก่อตั้งรัฐบาลผสมชั่วคราวแห่งชาติ


ปลาย เดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนตุลาคม 1973 กำลังตำรวจและทหารฝ่ายแนวร่วมลาวรักชาติได้เดินทางเข้ามาตัวเมือง เวียงจันทน์ชุดแรก วันพุธที่ 17 ตุลาคม 1973 เข้ามาที่นครหลวงพระบางชุดแรกเช่นเดียวกัน


ลักษณะของผู้มีชัย


วัน พุธที่ 3 เมษายน 1974 เมื่อทุกอย่างจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยตามสัญญาและอนุสัญญาดีแล้วเจ้าสุภานุวงศ์ ได้เดินทางจากเขตที่มั่นปฏิวัติ เมืองเวียงไช สู่นครหลวงเวียงจันทน์ มีมวลชนนับหมื่นนับแสนออกมาให้การต้อนรับอย่างคับคั่ง


ด้วยความชื่นชมยินดีต่อการมาของเจ้าสุภานุวงศ์


เจ้าสุภานุวงศ์ได้กล่าวในบางตอนต่อสื่อมวลชนที่มาต้อนรับว่า :


“ข้าพเจ้า ได้มาเวียงจันทน์ครั้งนี้ เพื่อร่วมกับสมเด็จเจ้าสุวรรณภูมา ตกลงตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่และคณะรัฐมนตรีผสมการเมืองแห่งชาติ อันเป็นการกุมอำนาจสูงสุดของพระราชอาณาจักรลาว นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เป็นเครื่องหมายการขยายตัวใหม่ในชีวิตการเมืองของ ปวงชนลาวทั้งชาติและแน่นอนว่า...มันจะมีคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ประกอบเข้ากับการปกปักษ์รักษาสันติภาพอยู่ในเขตนี้และโลก...”


ตอนบ่ายวันเดียวกันนี้ เจ้าสุภานุวงศ์และเจ้าสุวรรณภูมา ได้ตกลงกันเกี่ยวกับการตั้งสองสถาบันการเมืองผสมดังกล่าว


เดินทางไปหลวงพระบาง


วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน 1974 เจ้าสุภานุวงศ์ เจ้าสุวรรณภูมา และภูมี วงศ์วิจิตร ได้เดินทางไปยังหลวงพระบางเพื่อประกอบพิธีต่อเจ้าชีวิต ตามกฎมณเทียรบาล


เจ้า สุวรรณภูมา ได้ยื่นสารขอลบล้างรัฐบาลเก่าและเสนอรายชื่อคณะรัฐบาลชุดใหม่ พร้อมรายชื่อคณะรัฐมนตรีผสม การเมืองแห่งชาติต่อเจ้าชีวิตสีสว่างวัฒนา ซึ่งก็คือเจ้าสุวรรณภูมา เป็นนายกรัฐมนตรี และสมเด็จเจ้าสุภานุวงศ์เป็นประธานคณะมนตรีการเมืองผสมแห่งชาติ


วันศุกร์ที่ 5 เมษายน 1974 ทั้งสองสมเด็จได้ลงนามในแถลงการณ์เกี่ยวกับการตั้งสองสถาบันการเมืองผสมแห่งชาติ


ใน โอกาสการกล่าวรับตำแหน่งหน้าที่ เจ้าสุภานุวงศ์ได้เรียกร้องให้ปวงชนลาวทุกเพศทุกวัย ทุกชนชั้น ทุกชนเผ่า ศาสนา จงสามัคคีกัน สนับสนุนรัฐบาลผสม และคณะมนตรีการเมืองผสม เพื่อมีส่วนในการปรับปรุงสันติภาพและเอกราชของชาติ


ปฏิบัติการเพื่อความถูกต้องและการปรองดองในชาติ


วันพุธที่ 10 เมษายน 1974 การประชุมครั้งแรกของคณะรัฐบาลผสมชุดใหม่ได้เริ่มขึ้นที่เวียงจันทน์


วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 1974 เจ้าสุภานุวงศ์ได้เป็นประธานการประชุมคณะมนตรีการเมืองผสมครั้งแรกที่หลวงพระบาง


เดือน พฤษภาคม 1974 เวียงจันทน์ฝ่ายขวา ได้รวบรวมสมาชิกสภาหุ่นเวียงจันทน์ชุดที่ 7 ซึ่งก็คือ ผุย ชนะนิกร เป็นประธานนั้นได้เปิดการประชุมสภาขึ้นที่เวียงจันทน์


ขบวนการต่อสู้ขึ้นยึดอำนาจ

ภาย ใต้คำขวัญการต่อสู้ที่สมเหตุสมผลของพรรคประชาชนต่าง ๆ ได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อยึดอำนาจ นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเพื่อเร่งทวงเอาสิทธิประชาธิปไตยของประชาชนลาว อย่างดุเดือดทั่วประเทศ


ตลอด 42 วัน 42 คืน มหาชนชาวนาที่อยู่ท่าแขกหนองบก (แขวงคำม่วน) ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 21 กุมภาพันธ์ 1975 ได้พากันลุกขึ้นต่อสู้เพื่อทวงสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย


วัน พฤหัสบดีที่ 10 เมษายน 1975 เจ้าชีวิตสีสว่างวัฒนา มีความรำคาญใจ จึงได้ออกคำสั่งยุบสภาผุย ชนะนิกร เพื่อเป็นการบุกเข้าโจมตีศัตรูในทุกด้าน วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม 1975 เจ้าสุภานุวงศ์ได้เชิญเจ้าชีวิตสีสว่างวัฒนาไปเยี่ยมเมืองเวียงไซ วันจันทน์ที่ 5 พฤษภาคม 1975 นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการทหาร ในแขวงเซโดน ก็ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อทวงสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย


วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม 1975 ชาวนครหลวงเวียงจันทน์จำนวน 12,000 คน ชุมนุมคัดค้าน ประณามพวกเวียงจันทน์ฝ่ายขวา ประท้วงให้ปลดตำแหน่งรัฐมนตรี ฝ่ายเวียงจันทน์ 5 คน ประกอบด้วย 1. ศรีสุข จำปา ศักดิ์ 2. โง่น ชนะนิกร 3. คำไผ่ อภัย 4. หุมพัน ไชยสิทธิ และ 5. จันธร จันทลาสี ออกจากรัฐบาลผสมและประท้วงให้ปลดตำแหน่งนายทหารปฏิการ 5 คน ที่ประกอบด้วย 1.กุประสิทธิ์ อภัย 2. อุดร ชนะนิกร 3. คำรู้ บุตรสาละราช 4. วางปาว และ 5. ลุน สีสุนน


วันพุธที่ 14 เมษายน 1795 ชาวหลวงพระบางได้ชุมนุมกล่าวประณามขุนศึกปฏิการที่รับใช้อเมริกาตั้งแต่วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม 1975 กำลังปฏิวัติได้ยึดเมืองสุวรรณเขต ท่าแขก หลวงพระบาง ปากเซ และถนนหมายเลข 23 ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 18 - 23 พฤษภาคม 1975 กำลังปฏิวัติได้ยึดที่ตั้งสำคัญต่าง ๆ ที่อยู่ในแขวงและกำแพงนครหลวงเวียงจันทน์


วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม 1975 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ มวลชนกว่า 200,000 คน ได้ชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ตามรอยประวัติศาสตร์ ทั้งยังเป็นการประกาศลบล้างอำนาจการปกครองเก่า ก่อตั้งอำนาจการปกครองใหม่ขึ้นมาแทน


วัน พฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 1975 ศาลประชาชนสูงสุดได้ทำการตัดสินลงโทษ หลังจากพวกหัวหน้าปฏิการ 31 คน ที่หนีไปต่างประเทศหมดแล้ว 6 คนประหารชีวิต 5 คนจำคุกตลอดชีวิต และ 20 คน จำคุก 20 ปี เป็นอันว่าการปฏิวัติที่ได้ทำการต่อสู้กู้ชาติมาตลอด 30 ปี ถึงวันนี้จึงได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ที่สุด


สถาปนา สปป.ลาว


วัน อังคารที่ 25 พฤศจิกายน 1975 คณะรัฐบาลผสมและคณะมนตรีการเมืองผสม ได้ประชุมร่วมกันที่เมืองเวียงไช และตกลงกันที่จะลบล้างระบอบราชาธิปไตยในลาว


ภาย หลังการประชุม เจ้าสุภานุวงศ์ และภูมี วงศ์วิจิตร ได้ประชุมขึ้นเสนอต่อเจ้าชีวิตสีสว่างวัฒนาที่หลวงพระบาง เพื่อปฏิบัติตามใจของที่ประชุม ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่จากสองสถาบันสูงสุดแห่งชาติ


วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน 1975 เจ้าชีวิตสีสว่างวัฒนาได้ตกลงสละพระราชบัลลังก์


ตั้งแต่ วันจันทน์ที่ 1 - 2 ธันวาคม 1975 การประชุมใหญ่ตัวแทนทั่วประเทศ ได้จัดขึ้นที่นครหลวงเวียงจันทน์ โดยมีตัวแทนเข้าร่วมประชุม 264 ท่าน ซึ่งในที่ประชุมได้มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ ดังนี้ การตกลงลบล้างระบบราชาธิปไตย ที่มีมายาวนานถึง 622 ปี ตลอดเส้นทางที่ล้มลุกคลุกคลานของแผ่นดิน บางครั้งก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เมื่อคนในชาติโดยเฉพาะเชื้อเจ้าวงค์กษัตริย์แก่งแย่งชิงดีกันเอง ก่อให้เกิดศึกการเมืองแผ่นดิน แบ่งแผ่นดินลาวออกเป็น 2 เป็น 3 ทั้งถูกชาติอื่นยึดครองเป็นเมืองขึ้นของพม่า 19 ปี (1572 - 1591) เป็นเมืองขึ้นของไทยสยาม 114 ปี (1779 - 1893) เป็นหัวเมืองขึ้นของฝรั่งเศส 60 ปี (1893 - 1954)


วันนี้ ประเทศชาติลาวได้ยืนขึ้นผงาดฟ้าประกาศกึกก้อง สถาปนาระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก่อตั้งสภาประชาชนสูงสุด แต่งตั้งประธานประเทศและก่อตั้งรัฐบาล สปป.ลาว กำหนดธงชาติ เพลงชาติ และภาษาทางราชการ ลบล้างการใช้ราชาศัพท์เว้นไว้แต่การแต่งบทกวี กาพย์กลอน หรือบทประพันธ์เรื่องสั้น นวนิยาย เอาธงชาติของระบอบใหม่แทนที่ธงช้างสามหัว เอาทำนองเพลงชาติของระบอบเก่า แต่เปลี่ยนเนื้อร้องใหม่มาใช้ แต่งตั้งจ้าสุภานุวงศ์เป็นประธานประเทศ และแต่งตั้งเจ้าชีวิตคนเก่า เจ้าศรีสว่างวัฒนา เป็นที่ปรึกษาประธานประเทศ


ที่ประชุมยังได้แต่งตั้งสภาประชาชนสูงสุด โดยมีเจ้าสุภานุวงศ์เป็นประธาน ศรีสมพร ลอวันไชย คำสุก แก้วลา ไฟด่าง ระเบลียย้าว ศรีธน กมมะดำ เป็นรองประธาน


ประธานประเทศได้ให้ท่าน ไกรสอน พรมวิหาร เป็นประธานสภารัฐมนตรี และประธานสภารัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะสภารัฐมนตรี มีหนูฮัก พูมสวรรค์ ภูมี วงศ์วิจิตร คำไตย สีพันดอน และ พูน สีประเสิด เป็นรองประธาน ณ เวทีการประชุมประวัติศาสตร์ประธานสุภานุวงศ์และไกรสอน พรมวิหาร เลขาธิการใหญ่ พรรคประชาชนปฏิวัติลาว ได้โอบกอดหอมแก้มกันด้วยความปิติชื่นชมยินดีสุดจะพรรณาเมื่อผลจากการปฏิวัติ ที่ต่อสู้ยึดเยื้อมายาวนาน ก็ออกดอกออกผลเห็นความสว่างไสวมีสง่าราศีที่ไม่เคยมีมาในประวัติการณ์ของ ชาติลาว เป็นเพราะการนำของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวที่ปรีชาสามารถและฉลาดหลักแหลม เพื่อเป้าหมายที่รอคอยมาแสนนาน จึงได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า


ประธานประเทศ สปป.ลาว


ประธานสุภานุวงศ์วีรบุรุษแห่งแผ่นดินลาวล้านช้างหรือเจ้าชายแดงเชื้อเจ้า วงศ์กษัตริย์ที่สืบเชื้อสายสืบสกุลความรักชาติมาแต่บรรพบุรุษได้สละความสุข ส่วนตัวเพื่อนำปวงประชาชนลาวต่อสู้กู้ชาติ ตลอด 30 ปี ภายใต้การนำของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวที่ปรีชาสามารถและฉลาดหลักแหลม วันนี้ได้กลายเป็นประธานประเทศแห่ง สปป.ลาว คนแรกในประวัติศาสตร์ของชาติลาว.



เดินทางไปต่างประเทศ (นับตั้งแต่ปี 1975..)


ตั้งแต่ วันจันทร์ที่ 16 - 19 สิงหาคม 1976 ประธานสุภานุวงศ์ได้เดินทางไปร่วมการประชุมบรรดาประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ครั้งที่ 5 ณ นครโคลอมโบ ประเทศศรีลังกาและวันพุธที่ 12 - 19 มกราคม 1977 ประธานสุภานุวงศ์ได้นำคณะเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการ เพื่อสานสัมพันธไมตรี ความสามัคคีระหว่างรัฐบาลและประชาชนของประเทศลาว - อินเดีย จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังประเทศจีน ซึ่งทั้งสองประเทศมีสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพ ความสามัคคี การช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาอย่างยาวนาน


วันพุธที่ 19 - 23 มกราคม 1977 ประธานสุภานุวงศ์เยือนประเทศพม่า


วันจันทร์ที่ 19 มกราคม 1977 ประธานสุภานุวงศ์เยือนประเทศกัมพูชา


วันอังคารที่ 20 - 22 มีนาคม 1979 ประธานสุภานุวงศ์นำคณะผู้แทน สปป.ลาว เยือนประเทศกัมพูชาอีกครั้ง


วัน จันทร์ที่ 3 - 9 กันายายน 1979 ประธานสุภานุวงศ์เดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดของบรรดาประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่าย ใด ครั้งที่ 6 ที่ประเทศคิวบา


วันศุกร์ที่ 24 - 30 ตุลาคม 1980 ประธานสุภานุวงศ์เดินทางไปเชื่อมสันถวไมตรีกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยมองโกล


วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 1982 ประธานสุภานุวงศ์เยือนประเทศคิวบา


วัน พฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 1979 ประธานสุภานุวงศ์เข้าร่วมการประชุมสุดยอดของของบรรดาประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่าย ใด ครั้งที่7 ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย


เหรียญรางวัลต่าง ๆ ที่ประธานสุภานุวงศ์ได้รับ


ก. ภายในประเทศ:


1. เหรียญทองแห่งชาติ 1 เหรียญ (รับเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 1989) (National Gold MEDAL)


2. เหรียญรางวัลอิสระชั้น I 1 เหรียญ (รับเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 1989) (MEDAL OF LIBERTY ISSARA) “First Class”


3. เหรียญรางวัลชนะเลิศชั้น I 1 เหรียญ (รับเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 1989) (REVOLUTIONARY VICTORY MEDAL) “First Class”


4. เหรียญต่อต้านฝรั่งเศส (Anti-Colonial Cross) (1945 - 1954) 1 เหรียญ (รับเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 1989)


5. เหรียญต่อต้านอเมริกา (Anti-Impérialist Cross ) (1955 - 1973) 1 เหรียญ (รับวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 1989)


6. เหรียญที่ระลึก 5 ปี 1 เหรียญ (รับวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 1989) (Cross of five-year commemoration)


ข. จากต่างประเทศ:


1. เหรียญรางวัลโจอิโอกุยริของสหภาพสันติภาพโลก 1 เหรียญ (รับเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 1979)


2. เหรียญรางวัลซูเคบาตอ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยมองโกล 1 เหรียญ (รับเมื่อวันพุธที่ 5 ธันวาคม 1979)


3. เหรียญรางวัลดาวทองแห่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเวียดนาม 1 เหรียญ (รับเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 1981)


4. เหรียญรางวัลปลายาเรรง แห่งสาธารณรัฐคิวบา 1 เหรียญ (รับเมื่อเดือนสิงหาคม 1982)


5. เหรียญรางวัลโฮจิมินห์แห่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเวียดนาม 1 เหรียญ (รับเมื่อวันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 1989)


6. เหรียญรางวัลกเลเมนต์โงดวาลด์ แห่งเชกโกสโลวาเกีย 1 เหรียญ (รับเมื่อวันพุธ ที่ 1 พฤศจิกายน1989)


7. เหรียญรางวัล 13 ศตวรรษ บัลแกเลียแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยบัลแกเลีย 1 เหรียญ (รับเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 1989)


ครอบครัวของสมเด็จเจ้าสุภานุวงศ์


เจ้าสุภานุวงศ์ได้สมรสกับนางเหงียนถิกินาม (หม่อมเวียงคำ สุภานุวงศ์) ในวันพุธที่ 9 มกราคม 1938 ที่เมืองยาจ่าง ประเทศเวียดนาม มีบุตรด้วยกัน 10 คน ดังนี้


1. เจ้าอริยะ (เจ้าธรรมศีล สุภานุวงศ์) เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 1939 (ปีเถาะ) แรม 9 ค่ำ เดือน 8 (ปีเอกสก) (ปีเมิงเหม้า) หลังจากสำเร็จการศึกษาที่สหภาพโซเวียด เมื่อปี 1964 ก็เดินทางกลับประเทศในปี 1965 อาศัยอยู่ที่บ้านเซียงซื่อ แขวงหัวพัน และได้สมรสกับนางบุนมี (ลูกบุญธรรมท่านสิงกะโป สีโคดจุนนะมาลี) ในวันพุธ ขึ้น 10 ค่ำ ปีมะเมีย วันที่ 27 กรกฎาคม 1966 17 เดือนผ่านไปในวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 1967 ขณะที่ภรรยาตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน เจ้าอริยะได้เสียชีวิตลง รวมอายุได้ 28 ปี ต่อมาภรรยาได้คลอดลูกสาวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 1968 ปีสำลิดทิสก (ปีวอก) แรม 12 ค่ำ เดือน 7 ให้ชื่อว่านางหน่อคำ สุภานุวงศ์


2. อนุวงศ์ สุภานุวงศ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 1940 (ปีมะโรง) ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 12 (ปีโทสก) (ปีเปิกสก)


3. คำไซ สุภานุวงศ์ เกิดเมื่อวันพุธที่ 14 มกราคม 1942 (ปีมะเมีย) ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 2 ปีจัตวาสก (ปีกดสะง้า)


4. ดวงสะหวัด สุภานุวงศ์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม 1943 (ปีมะเมีย) แรม 6 ค่ำ เดือน 9 ปีเบญจสก (ปีฮ่วงหมด)


5. ยอดแก้วมณี สุภานุวงศ์ เกิดเมื่อวันอังคารที่ 8 ตุลาคม 1946 (ปีจอ) ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ปีอัดถะสก (ปีกาบเส็ด) สามีชื่อสมนึก วงศ์สวัสดี มีบุตรสาวคนเดียวชื่อนางยอดคำมณี สุภานุวงศ์ เกิดวันอังคารที่ 8 กันยายน 1987 ปีเถาะ แรม 1 ค่ำ เดือน 10 ปีนพสก (ปีเปิงเหม้า)


6. เทิดเกียรติ (วิไลทอง) สุภานุวงศ์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน 1947 (ปีกุน) แรม 10 ค่ำ เดือน 11 ปีนพสก (ปีรับไค้)


7. เหวียดวัน สุภานุวงศ์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 1950 (ปีขาน) แรม 3 ค่ำ เดือน 3 ปีโทสก (ปีเปิกยี่)


8. สุพาไซ สุภานุวงศ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 1953 ปีมะเส็ง แรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเบญจสก (ปีฮ้วงไส้)


9. ไมตรี สุภานุวงศ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 1955 (ปีมะเมีย) ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ปีสับตะสก (ปีก่าหมด)


10. สีนาวา สุภานุวงศ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 1959 (ปีกุน) แรม 3 ค่ำ เดือน 8 ปีเอกสก (ปีฮบเฮ้า)


หมดจิตหมดใจ


วัน จันทร์ที่ 9 มกราคม 1995 (ปีกุน) ปีสับตะสก (ปีฮับไค้) แรม 5 ค่ำ เดือนยี่ (2) พ.ศ. 2539 เวลา 11.00 น.(ยามพัดลั่น) ประธานสุภานุวงศ์ ได้สิ้นลมที่บ้านพัก บ้านโพนสะอาด เมืองไชยเชษฐา กำแพงนครหลวงเวียงจันทน์ รวมอายุได้ 85 ปี 5 เดือน 9 วัน หรือ 31,184 วัน พรรคและรัฐบาลแห่งสปป.ลาว ได้อาลัยอาวรณ์ และเศร้าสลดใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของประธานสุภานุวงศ์ ตลอด 5 วัน ได้ประกาศให้กองทัพและปวงชนทั้งประเทศ ลดธงชาติลงครึ่งเสา.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=qfJdyvMofY0



www.siengserixonlao.com


ນັບຕັ້ງແຕ່ພະບາງມາຢູ່ໃນກຳມືມືຂອ­ງສາງຫນໍ່ຄຳມີແຕ່ຄວາມຈີບຫາຍວາຍວອ­ດໄຟໄຫ້ມມີຫນີ້ມີສີນ(ວັນນາລອນ ທີ່ປາຣີສບອກວ່າຢືມເງີນເຂົາ20ພັນ­ຝັຣ່ງໃຊ້ຍັງບໍ່ທັນຫົມດນະ)ຖານະບໍ­ມີຫຍັງດິຂື້ນ ບໍ່ມີປັນຍາຊີເຣັດເສືອກເອົາໄປໃຫ້­ບັກສູນທະຣາ(ຈົ່ງອາງໄຟ)+ບັກເຂັມພ­ອນ(ວິຣະຊົນ)ເພື່ອໂຄສນາຊວນເຊື່ອຫ­ລອກເອົາເງີນເຂົ້າຖົງຕົນເອງຍັງບໍ­ແລ້ວ ຍັງມີຄວາມແຕກແຍກກັນຢ່າງບໍ່ເຄີຍມ­ີໃນສັງຄົມລາວນອກ ປທ ໂຈໂຈ ມາຜິດນັດ ແອບຊັນ25 ດ່າ ເຈົ້າຂອງພະບາງທີ່ປາຣີສແບບເສັຍຫາ­ຍທີ່ສຸດ ຕອບແດ່ນາງຫນໍ່ຄຳ ພະບາງ ຣັກສາຄວາມເປັນທັມຫຍັງໃຫ້ເຈົ້າລະ­ເດັກນ້ອນຫັວທໍ່ມັກກອກເຂົາຈູດເຜົ­າເຈົ້າທຸກມື້ເດິ

ສາວຫນໍ່ຄຳຫ້ນາຊັ່ວ ບໍ່ຖາມຫາທີ່ມາທີ່ໄປຂອງບັກຈົງອາງ­ໄຟວ່າກ່ອນ75 ມັນເຣັດຫັຍງນອກຈາກທະຫານທິມທັມມະ­ດາແລະທີ່ການາດາເຊີນຣາຊວົງລາວມາມມົງເຣອານປີ1996+99 ບັງຄັບໃຫ້ຊາວລາວແຕ່ລະຄົນຈ່າຍຜູ້­ລະ100ດລ ເພື່ອມາຕ້ອນຮັບເຈົ້າຟ້າຊາຍໂສຣີຍ­າວົງສວ່າງຈາກປາຣີສໂດຍບໍ່ເຣັດລາຍ­ລັບລາຍຈ່າຍຫຍັງຫົມດ ພະບາງມາປັບ ຊີ່ຣວຍຫ້ນາດິບັກນີ້ເສືອກ ປ້ອຍດ່າສະຖາບັນສູງສຸດຂອງລາວເຣົາ­ແບບສັດເດັຍຣະສານວາງເວລາຈຳກັດກັບ­ຣາຊວົງລາວໃຫ້ມາຣັບຣູ້ວ່າພະບາງເປັນຂອງແທ້ແລ້ວພະບາງທີ່ລາວກ່ອນປິ7­5 ແມ່ນຫຍັງກັນແທ້?ຕອບອີ່ຫ່າມືງເພາ­ະມືງຕ້ອງຣັບຜິດຊອບກັບການແກ່ພະອົ­ງກູມາພັວພັນກັບພະບາງປອມມືງ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

สนง.ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนฯ วอนไทยแก้ไข ม.112 กิจกรรมเคลื่อนไหวกรณี "อากง" เกิดต่อเนื่อง 9-10 ธ.ค.

วันที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 22:12:12 น. matichon


เว็บไซต์ประชาไทยรายงานว่าเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ราวินา แชมดาซานิ (Ravina Shamdasani) รักษาการโฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the High Commissioner for Human Rights - OHCHR) ได้แถลงข่าวเรียกร้องให้ทางการไทยแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เนื่องจากมองว่ากฎหมายดังกล่าวส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเสรีภาพในการแสดงออก ของประชาชน


การแถลงดังกล่าวมีเนื้อหาว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเป็นองค์กรทางการด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ เป็นกังวลต่อการพิจารณาคดีและการลงโทษที่ร้ายแรงด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันในประเทศไทย และผลกระทบที่สร้างความหวาดกลัวที่มีต่อเสรีภาพในการแสดงออกภายในประเทศ


แชมดาซานิ ระบุว่า บทลงโทษที่ร้ายแรงที่เป็นอยู่ เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและยังเกินกว่าเหตุ อีกทั้งเป็นการละเมิดหลักกฎหมายสากลที่ประเทศไทยมีพันธะผูกพันในทางระหว่าง ประเทศด้วย


"เราขอเรียกร้องให้ทางการไทยแก้ไขกฎหมายมาตรา ดังกล่าว ในขณะเดียวกันก็ควรมีการกำหนดแนวทางการดำเนินการให้แก่ตำรวจและอัยการ เพื่อยุติการจับกุมและดำเนินคดีบุคคลด้วยกฎหมายดังกล่าวที่มีความคลุมเครือ และนอกจากบทลงโทษอย่างเกินกว่าเหตุแล้ว เรายังกังวลต่อการคุมขังผู้ต้องหาซึ่งมีระยะเวลานานต่อเนื่องในช่วงก่อนการ ไต่สวนคดีด้วย" ตัวแทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ กล่าว


เว็บไซต์ประชาไทรายงานด้วยว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 9 ธันวาคม ที่บริเวณบาทวิถีหน้าศาลอาญา รัชดา ได้มีกลุ่มคนแต่งชุดดำจำนวนกว่า 112 คน นำโดยเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และประชาชนทั่วไป ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมชื่อ "เราคืออากง" โดยมีจุดเริ่มต้นจากกรณีนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) วัย 61 ปี โดนพิพากษาจำคุก 20 ปี จาก "คดีอากง SMS"


ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์รายงานว่า ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ จะมีการจัดกิจกรรม "อภยยาตรา" โดยผู้เข้าร่วมจะเดินรณรงค์กรณีคดีอากง, นักโทษการเมือง และนักโทษ ม.112 จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังสี่แยกราชประสงค์

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ทูตสหรัฐ" ทวีตแจงกรณีไทยจำคุก "โจ กอร์ดอน" คดีหมิ่นสถาบันวันที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:30:00 น. ມະຕີຊົນ

ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 9 ธ.ค. นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย พูดคุยตอบคำถามประชาชนและผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว (@KristyKenny) เป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยนางเคนนีย์ ชี้แจงถึงท่าทีของสถานทูตสหรัฐต่อการตัดสินจำคุก 2 ปี นายโจ กอร์ดอน บุคคลเชื้อชาติไทย สัญชาติสหรัฐ ในข้อหาแปลหนังสือต้องห้ามเผยแพร่ในบล็อก ซึ่งหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของไทยว่า


สหรัฐมีความกังวลใจเนื่องจากการตัดสินไม่สอดคล้องกับมาตรฐานเสรีภาพพื้นฐานสากลว่าด้วยสิทธิในการแสดงออก พร้อมยืนยันว่าทางการสหรัฐมีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอย่างหาที่สุดมิได้ แต่สหรัฐสนับสนุนการมีสิทธิทางความคิดและเสรีภาพในการแสดงออกทั่วโลก ซึ่งทางสถานทูตสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือนายกอร์ดอน โดยจะเดินทางไปเข้าเยี่ยมและนำเรื่องนี้เข้าหารือกับทางการไทย พร้อมฝากประชาสัมพันธ์ให้ชาวสหรัฐทั้งที่จะเดินทางมาและกำลังพำนักอยู่ในไทยได้อ่านศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลและกฎหมายเบื้องต้นของไทยทางเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐด้วย (http://travel.state.gov/travel/cis_pa_tw/cis/cis_1040.html#criminal_penalties) เนื่องจากแม้จะมีสัญชาติสหรัฐ แต่หากอยู่ในไทยก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของไทย


นางเคนนีย์ ยืนยันว่า สหรัฐยังคงจุดยืนที่ต้องการจะเพิ่มพูนความสัมพันธ์ ความร่วมมือและการค้ากับประเทศในภูมิภาคนี้ ขณะที่สหรัฐจะให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในการฟื้นฟูจากอุทกภัยครั้งใหญ่นี้ด้วย พร้อม



__________________
« First  <  Page 2  >   Last »  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.



Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard