เมื่อประเทศตะวันตกมองจีนเป็นภัยคุกคาม และผู้นำจีนก็หันมาใช้อำนาจในการโน้มน้าวเพื่อสร้างความนิยมยอมรับ (ซอฟพาวเวอร์) มากขึ้น หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือ การให้ความช่วยเหลือเป็นรายประเทศ ทั้งในรูปแบบเงินช่วยเหลือให้เปล่าและการปล่อยเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน เป็นการสร้างกับดักทางเศรษฐกิจ ประกอบกับตอนนี้ ทุกประเทศต่างกำลังเผชิญผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งดูเหมือนจีนเป็นผู้นำการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสที่ทุกประเทศกำลังต้องการ
กรมข่าวทหารบกจึงได้จัดสัมมนา “จีนยุคใหม่กับบทบาทด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ” ให้รู้ทันความคิดจีน วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จีนยึดถือหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศต่างๆ จะเห็นว่า จีนเน้นใช้นโยบายซอฟพาวเวอร์ และให้ความช่วยเหลือแบบไม่มีเงื่อนไข โดยพยายามฉายภาพให้แตกต่างจากสหรัฐ ที่มักเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศอื่นๆ ทำให้ประเทศเหล่านี้พึงพอใจจะสานสัมพันธ์พิเศษกับจีน มากกว่าสหรัฐ
“จีนไม่เคยกำหนดเงื่อนไขแลกกับความช่วยเหลือด้านการเงินให้ประเทศผู้รับต้องปฏิบัติตาม และมีหลายกรณีที่จีนยกให้ ในทางปฏิบัติจีนได้รับผลประโยชน์บางอย่างตอบแทนกลับมา อาทิ สัมปทานเหมืองแร่ในประเทศต่างๆ และการบริหารจัดการที่ดินระยะยาว” วรศักดิ์กล่าว
และยกตัวอย่างโครงการสายแถบและเส้นทาง (บีอาร์ไอ) ในมุมมองของจีน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่างๆ เป็นองค์ประกอบสำคัญให้จีนบรรลุเป้าหมายความรุ่งเรืองเช่นในอดีต
จีนย้ำเสมอว่า บีอาร์ไอ มุ่งสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สันติภาพ และเสถียรภาพ แต่ในทางปฏิบัติ บีอาร์ไอ ก่อปัญหาในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ 1.กับดักหนี้ (debt trap) อย่างที่ศรีลังกาต้องโอนทางเรือฮัมบันโตตาให้จีน เพราะไม่มีเงินชำระหนี้ 2.กับดักความมั่นคง (security trap) อย่างกรณีจิบูตีที่จีนเข้าไปตั้งฐานทัพเพื่อแลกกับความช่วยเหลือ และ 3.กับดักอำนาจในการโน้มน้าวเพื่อสร้างความนิยมยอมรับ (soft power trap) เห็นชัดในลาวและกัมพูชา ที่ตกอยู่ในอำนาจจีน สะท้อนผ่านโครงการรถไฟลาว-จีน และโครงการพัฒนาท่าเรือสีหนุวิลล์
“จีนทำตัวเป็นจักรวรรดินิยมไม่ต่างจากสหรัฐ ผ่านโครงการบีอาร์ไอ ด้วยการพยายามควบคุมเส้นทางคมนาคมเพื่อรับใช้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงประเทศ” ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา จุฬาฯกล่าว
วรศักดิ์ มองว่าแต่สำหรับจีน กับสหรัฐประเทศมหาอำนาจโลก ซึ่งกำลังมีปัญหาสงครามการค้า จีนพยายามรับมือกับนโยบายแข็งกร้าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งเอาใจกลุ่มนักธุรกิจและหวังสร้างคะแนนนิยมภายในประเทศ
หากวิเคราะห์ความสัมพันธ์จีนกับประเทศต่างๆ เป็นรายภูมิภาค พบว่า จีนแสดงบทบาทและอำนาจถ่วงดุลต่างกันออกไป อย่างในประเทศในเอเชียตะวันออก จีนมีบทบาทในปัญหาคาบสมุทรเกาหลี แม้จีนจะต้องปฏิบัติตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซี) ในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ แต่จีนไม่สามารถทอดทิ้งเกาหลีเหนือได้ เพราะเหมือนเป็นพื้นที่กันชน ให้กับจีน จึงพยายามจูงใจประชาคมระหว่างประเทศให้มีท่าทีประนีประนอมกับเกาหลีเหนือ
ขณะที่จีนกับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มีปัญหาเกิดจากจีนสร้างเขื่อนและระเบิดเกาะแก่งเพื่อใช้เป็นเส้นทางคมนาคม ส่งผลกระทบต่อเขตแดนไทยและลาวด้วย แต่การที่ไทยกล้ายืนกรานไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าว ทำให้จีนล้มเลิกแผนระเบิดเกาะแก่งในที่สุด
ຍັງດີທີ່ໄທມີນັກການເມືອງທີ່ນິຍົມຊົມຊອບສະຫະຣັຖ ແຕ່ລາວເຮົານີ້ຕິ
ປານໃດຊິແນມເຫັນຈີນເປັນຍັກເປັນໂຂ ເຫັນເງິນຢ໊ວນເປັນພະເຈົ້າແບບນີ້
ລູກຫລານລາວຄົງບໍ່ມີດິນຢູ່ແທ້ໆ...ໜ້າເປັນຫ່ວງຈິງໆ !